นมแม่
รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์
????????????? ท่าของมารดาในการให้นมลูกมีท่าหลากหลายที่มารดาอาจจะใช้ได้ ได้แก่ ท่านั่งบนพื้นหรือท่านั่งบนเก้าอี้ ท่านอน ท่ายืน หรือท่าเดิน หากมารดานั่งหรือนอน มารดาควรจะ
??????? สบายและมีที่พิงหลัง
??????? ควรมีที่พักเท้าให้เท้าไม่ลอย แกว่งหรือรู้สึกไม่สบาย
??????? มีที่รองเต้านม หากจำเป็น
หนังสืออ้างอิง
1.????? WHO/UNICEF. BFHI Section 3: Breastfeeding promotion and support in a baby-friendly hospital ? 20-hour course. ?2009
?
รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์
????????? -การจัดท่าหมายถึงวิธีที่มารดาจะอุ้มหรือจับลูกให้สามารถที่จะอ้าปากอมหัวนมและลานนมได้อย่างเหมาะสม หากทารกอ้าปากอมหัวนมและลานนมได้ไม่ดี บุคลากรทางการแพทย์สามารถจะช่วยจัดท่าให้ดีเพื่อทำให้การอ้าปากอมหัวนมและลานนมทำได้ดีขึ้น
??????????? -หากทารกอ้าปากอมหัวนมและลานนมและดูดนมได้ดี? โดยไม่มีอะไรขัดขวางการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่จะทำให้การให้นมลูกมีประสิทธิภาพ บุคลากรควรบอกลักษณะสำคัญในการสังเกตการณ์อ้าปากอมหัวนมและลานนมและการดูดนมที่ดี เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับมารดาว่าจะสามารถประเมินการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้ด้วยตนเอง
หนังสืออ้างอิง
1.????? WHO/UNICEF. BFHI Section 3: Breastfeeding promotion and support in a baby-friendly hospital ? 20-hour course. ?2009
รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์
??????????? -ขนาดและรูปร่างของเต้านมไม่ได้มีความสัมพันธ์กับความสามารถในการให้นมแม่
??????????? -ฮอร์โมนโปรแลคตินช่วยในการสร้างน้ำนมและช่วยให้มารดารู้สึกผ่อนคลาย
??????????? -ฮอร์โมนออกซิโตซินจะขับไล่น้ำนมออกมาซึ่งช่วยทารกให้ได้รับน้ำนมจากการดูดดีขึ้น การรู้สึกผ่อนคลาย สบาย การมองเห็น การสัมผัส การได้ยิน และการคิดเกี่ยวกับลูกจะช่วยกระตุ้นกลไกออกซิโตซิน ส่วนการปวด ความวิตกกังวลสงสัย ความอาย นิโคตินและแอลกอฮอล์สามารถยับยั้งออกซิโตซินชั่วคราวได้
??????????? -หากน้ำนมเต็มเต้า กลไกการสร้างน้ำนมจะถูกยับยั้ง การให้ลูกดูดนมหรือปั๊มนมออกจะช่วยให้การผลิตน้ำนมเพิ่มขึ้นได้
??????????? -การเริ่มให้ลูกกินนมตั้งแต่ระยะแรกและให้บ่อยๆ จะทำให้การผลิตน้ำนมเพิ่มขึ้น
??????????? -ลักษณะของการอ้าปากอมหัวนมและลานนมได้ดี
??????? คางชิดอก
??????? ปากเปิดกว้าง
??????? ริมฝีปากล่างปลิ้นออก
??????? ลานนมด้านบนเห็นมากกว่าด้านล่าง
??????????? -ลักษณะของการอ้าปากอมหัวนมและลานนมไม่ดี
??????? คางห่างอก
??????? ปากไม่กว้าง
??????? ริมฝีปากล่างตรงหรือเข้าได้ใน
??????? ลานนมด้านล่างเห็นมากกว่าด้านบนหรือเท่ากัน
??????????? -ลักษณะของการดูดนมของทารกที่มีประสิทธิภาพ
??????? ดูดช้า? ยาว และได้ยินเสียงกลืน
??????? แก้มทารกป่อง
??????? ทารกสงบนิ่ง ไม่กระวนกระวาย
??????? หลังกินนมตามความต้องการแล้ว ดูอิ่มและพอใจ
??????? แม่ไม่เจ็บเต้านม
??????????? -ลักษณะของการดูดนมของทารกที่ไม่ดี
??????? ดูดเร็วและสั้น อาจได้ยินเสียงดูดลม
??????? แก้มทารกบุ๋มเข้า
??????? ทารกกระสับกระส่ายหันเข้าและออกจากเต้านม
??????? ทารกกินนมบ่อย กินนมนาน โดยไม่รู้สึกอิ่มหรือพึงพอใจ
??????? แม่เจ็บเต้านม
??????????? -การดูแลเต้านม
??????? ไม่จำเป็นต้องชำระล้างเต้านมทุกครั้งก่อนการป้อนนม
??????? มารดาที่ไม่ได้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่จำเป็นต้องดูแลเต้านมไปจนกว่าน้ำนมจะแห้ง
หนังสืออ้างอิง
1.????? WHO/UNICEF. BFHI Section 3: Breastfeeding promotion and support in a baby-friendly hospital ? 20-hour course. ?2009
รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์
???????????????? มารดาที่ไม่ได้ให้ลูกกินนมแม่จำเป็นต้องรู้เกี่ยวกับการดูแลเต้านม ตามปกติน้ำนมจะค่อยๆ แห้งหากไม่ได้ให้ทารกดูดนมออก ซึ่งจะใช้เวลาเป็นสัปดาห์หรือมากกว่านั้น มารดาสามารถบีบน้ำนมออกจากเต้าเพื่อทำให้สบายขึ้นได้ระหว่างที่น้ำนมค่อยๆ แห้งได้ โดยน้ำนมที่ได้อาจนำไปให้ทารก หากมารดามีการติดเชื้อเอชไอวีน้ำนมที่ได้อาจต้องผ่านกระบวนการทำให้ร้อนเพื่อฆ่าเชื้อก่อนให้แก่ทารก
หนังสืออ้างอิง
1.????? WHO/UNICEF. BFHI Section 3: Breastfeeding promotion and support in a baby-friendly hospital ? 20-hour course. ?2009
รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์
??????????? การสอนมารดาให้รู้จักการดูแลเต้านมเพื่อให้ลูกกินนมแม่
??????????? -ทำความสะอาดเต้านมด้วยน้ำ ไม่ต้องใช้สบู่ ครีมบำรุงผิว น้ำมัน หรือวาสลินเพราะอาจรบกวนสารหล่อลื่นตามธรรมชาติของผิว
??????????? -การทำความสะอาดเต้านมขณะอาบน้ำตามปกติก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องทำความสะอาดเต้านมทุกครั้งก่อนการให้นม ซึ่งอาจจะเป็นการทำลายน้ำมันปกป้องผิวตามธรรมชาติและเปลี่ยนกลิ่นเต้านมที่มีผลต่อการค้นหาเต้านมของทารก
??????????? -ยกทรงไม่มีความจำเป็น แต่หากต้องการใช้สามารถใช้ได้ โดยเลือกใช้ยกทรงที่ขนาดเหมาะสมไม่แน่นจนเกินไป
หนังสืออ้างอิง
1.????? WHO/UNICEF. BFHI Section 3: Breastfeeding promotion and support in a baby-friendly hospital ? 20-hour course. ?2009
?
