คลังเก็บหมวดหมู่: ความรู้สำหรับนักศึกษา

ความรู้สำหรับนักศึกษา

การให้ลูกกินนมแม่อย่างเดียวช่วยจุลชีพที่มีประโยชน์ในลำไส้ของทารก

รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์

? ? ? ? ? ? ? ? เรื่องของจุลชีพที่มีประโยชน์ในลำไส้ของทารกจะมีความเกี่ยวข้องกับการกระตุ้นภูมิคุ้มกันและควบคุมระบบภูมิคุ้มกันให้เป็นปกติ นอกจากนี้จุลชีพที่อยู่ในลำไส้จะเป็นจุลชีพประจำถิ่นที่ช่วยปกป้องการติดเชื้อจากเชื้อที่จะทำให้เกิดโรค ผลเหล่านี้จึงนำมาสู่การลดการเสียชีวิตของทารกในช่วงระยะแรกหลังคลอด (neonatal death) จากการติดเชื้อในทางเดินอาหารและอาการท้องเสีย และช่วยลดกลุ่มโรคที่เกี่ยวกับภูมิแพ้ เช่น ผิวหนังอักเสบและหอบหืด มีการศึกษาพบว่านมแม่นั้นจะเป็นพรีไบโอติก (prebiotic) คือเป็นอาหารที่ดีของจุลชีพที่มีประโยชน์เหล่านี้ในลำไส้ ซึ่งจะช่วยสร้างสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมในการเจริญเติบโตของจุลชีพนี้ในลำไส้ การให้ลูกได้กินนมแม่อย่างเดียวหกเดือนจะคงสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมของจุลชีพที่เหมาะสมในลำไส้ได้จากการติดตามเป็นระยะเวลาหนึ่งปี แต่หากทารกกินนมแม่ร่วมกับนมผงดัดแปลงสำหรับทารกหรือให้อาหารอื่นก่อนเดือนที่ห้า สภาวะแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับจุลชีพที่มีประโยชน์จะเปลี่ยนแปลงไป1 ซึ่งน่าจะส่งผลต่อการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของทารก สิ่งที่พบนี้น่าจะสนับสนุนข้อแนะนำขององค์การอนามัยโลกที่แนะนำให้ทารกกินนมแม่อย่างเดียวหกเดือน จากนั้นกินนมแม่ร่วมกับอาหารตามวัยต่อเนื่องจนกระทั่งสองปีหรือนานกว่านั้นขึ้นอยู่กับความต้องการของมารดาและทารก

เอกสารอ้างอิง

  1. Carvalho R, II, Duarte RTD, Brandt KG, Martinez MB, Taddei CR. Breastfeeding increases microbial community resilience. J Pediatr (Rio J) 2018;94:258-67.

การนอนเตียงร่วมกันช่วยให้ทารกกินนมแม่ได้นานขึ้น

รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์

? ? ? ? ? ? ? ? ?ความใกล้ชิดระหว่างมารดาและทารกในการนอนร่วมเตียงเดียวกัน จะช่วยให้มารดาสามารถสังเกตอาการและอาการแสดงที่บ่งบอกว่าทารกหิว ซึ่งจะทำให้มารดาให้นมลูกได้ตามความต้องการของทารกและมีระยะเวลาการกินนมแม่ที่นานกว่ามารดาที่แยกกันนอนโดยทารกห่างจากมารดาหรืออยู่คนและห้องกับมารดา1 อย่างไรก็ตาม การที่ทารกนอนร่วมเตียงเดียวกันกับมารดาควรต้องจัดสถานที่ให้มีความปลอดภัย ปราศจากร่องหรือช่องที่ทารกอาจพลัดหล่นลงไปได้ หมอนหรืออุปกรณ์บนเตียงที่ใช้กับทารกไม่ควรนุ่มจนเกินไปจนอาจทำให้ทารกจมลงตามน้ำหนักตัวและอุดกั้นการหายใจของทารกได้ ควรหลีกเลี่ยงการใส่ตุ๊กตาลงในที่นอนทารกเพราะส่วนใหญ่จะนุ่มทำให้เสี่ยงอันตรายดังที่กล่าวมาแล้ว ยังอาจสะสมฝุ่นละอองและดูแลความสะอาดได้ยากขึ้น ในประเทศไทยส่วนใหญ่มักใช้ฟูกนอน ทารกอาจนอนใกล้หรือบนฟูกที่นอนเดียวกันกับมารดา แต่ควรมีพื้นที่กว้างขวางพอและควรจัดสถานที่ให้ปลอดภัยเช่นเดียวกัน

เอกสารอ้างอิง

  1. Bovbjerg ML, Hill JA, Uphoff AE, Rosenberg KD. Women Who Bedshare More Frequently at 14 Weeks Postpartum Subsequently Report Longer Durations of Breastfeeding. J Midwifery Womens Health 2018.

?

อุปสรรคของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ของมารดาที่เป็นแพทย์

รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์

? ? ? ? ? ? ?แม้ว่าแพทย์จะทราบถึงประโยชน์และความสำคัญของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เป็นอย่างดี แต่มีการศึกษาพบว่า แพทย์มากกว่าครึ่งหนึ่งที่หยุดให้การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ก่อนเวลาอันควร ซึ่งเหตุผลของการหยุดการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ที่พบ ได้แก่ ยุ่งมากจนไม่มีเวลา ตารางเวลางานบางครั้งไม่สามารถกำหนดได้ ระยะเวลาของการทำงานในแต่ละวันยาวนาน ไม่มีสถานที่ที่จะปั๊มหรือเก็บน้ำนม ระยะเวลาของการลาพักหลังคลอดสั้น1 สิ่งเหล่านี้ต่างมีผลทำให้แพทย์ต้องหยุดการให้นมโดยไม่ตั้งใจ นโยบายที่สนับสนุนให้แพทย์ลาพักหลังคลอดอย่างเหมาะสม และเมื่อกลับมาทำงาน มีการจัดสถานที่ปั๊มนมรองรับเพื่อเป็นสวัสดิการแก่บุคลากร การจัดสถานที่รับเลี้ยงทารกเพื่อให้มารดาสามารถมาให้นมลูกในช่วงพักในระหว่างการทำงาน อาจจะช่วยอัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในมารดาที่เป็นแพทย์สูงขึ้นได้

เอกสารอ้างอิง

  1. Cantu RM, Gowen MS, Tang X, Mitchell K. Barriers to Breastfeeding in Female Physicians. Breastfeed Med 2018.

การกินนมแม่อาจช่วยป้องกันการสบฟันที่ผิดปกติ

รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์

? ? ? ? ? ? ? ? แม่บางคนอาจมีความกังวลว่าหากลูกกินนมแม่นาน ๆ แล้ว จะมีการสบฟันที่ผิดปกติ (malocclusion) มีการศึกษาที่ศึกษาถึงความสัมพันธ์ของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่กับการสบฟันที่ผิดปกติ ซึ่งจากผลการศึกษาของงานวิจัยนี้พบว่า การที่ลูกกินนมแม่จะช่วยป้องกันการเกิดการสบไขว้ฟันหลัง (posterior crossbite) และการสบฟันผิดปกติในชั้นที่ 2 (class 2 malocclusion)1 นอกจากนี้ผลของการป้องกันยังเพิ่มตามระยะเวลาของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ด้วย ดังนั้นผลจากข้อมูลที่มีการศึกษาน่าจะบ่งชี้ถึงประโยชน์ของการให้ลูกได้กินนมแม่ในด้านการสบฟัน หากรวมกับประโยชน์ของนมแม่ในด้านอื่น ๆ ที่มีต่อมารดาและทารก เช่น ป้องกันมะเร็งเต้านมในมารดาที่ปัจจุบันเป็นสาเหตุอันดับหนึ่งของการเสียชีวิตของสตรีจากมะเร็งในประเทศไทยและของโลก และป้องกันการเสียของชีวิตของทารกในระยะแรกหลังคลอด (neonatal death) จากอาการท้องเสียหรือการติดเชื้อในทางเดินอาหาร เป็นต้น การตัดสินใจที่จะเลือกให้ลูกได้มีโอกาสที่จะได้รับอาหารที่มีประโยชน์สูงสุดในระยะแรกคือ ?การให้ลูกได้กินนมแม่? จึงเป็นสิ่งที่ควรกระทำ

เอกสารอ้างอิง

  1. Borrie F. Breastfeeding and occlusal development. Evid Based Dent 2018;19:5.

การนวดเต้านม การขาดมาตรฐานและแนวทางการปฏิบัติ

รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์

? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? แม้จะมีรายงานว่า การนวดเต้านมสามารถช่วยลดอาการตึงคัดเต้านมได้1-3 แต่ในประเทศไทย วิธีการและรูปแบบในการนวดเต้านมนั้นมีหลากหลาย มีทั้งแบบไทยโบราณหรือตามรูปแบบวัฒนธรรมสืบต่อมาในแต่ละท้องถิ่นหรือตามรูปแบบการนวดเต้านมของญี่ปุ่น เกาหลี รัสเซีย ออสเตรเลีย หรืออังกฤษ1,3-6 โดยที่ในปัจจุบัน มีทั้งการให้บริการในสถานพยาบาลและการให้บริการเชิงการค้า มีทั้งที่ตั้งเป็นลักษณะคลินิกและที่ให้บริการถึงที่บ้าน มีการโฆษณาเกินจริงหรือมีข้อบ่งชี้ที่มากกว่าหลักฐานเชิงประจักษ์ การขาดข้อมูลการศึกษาที่ชัดเจนในแต่ละศาสตร์ของการนวดเต้านม ทำให้การแนะนำหรือให้คำปรึกษาทางการแพทย์มีความยากลำบาก การรวบรวมความรู้? กำหนดข้อบ่งชี้เบื้องต้นที่สามารถให้การดูแลรักษาด้วยการนวดได้โดยปลอดภัย เช่น? อาการตึงคัดเต้านมที่มารดาไม่มีไข้หรืออาการแทรกซ้อนที่แสดงการอักเสบของเต้านมหรือมีแผลที่หัวนม และกำหนดข้อควรระวังหรือข้อบ่งห้ามในกรณีที่มารดามีไข้สูงหรือนานกว่า 24 ชั่วโมง มีเต้านมมีอาการบวมแดง กดเจ็บ คลำได้เป็นก้อน มีแผลที่หัวนมหรือมีหัวนมแตกร่วมด้วย ควรรีบมาพบแพทย์เพื่อรับการรักษา การสื่อสารข้อมูลที่เป็นแนวทางในการให้การดูแลรักษาโดยการนวดเต้านมอย่างปลอดภัย ควรเผยแพร่ทางสื่อให้มีความหลากหลายเพื่อกระจายให้ประชาชนทุกกลุ่มเข้าถึงและมีความรู้ ซึ่งจะทำให้ประชาชนสามารถจะพิจารณาและตัดสินใจที่จะดูแลตนเองเมื่อเกิดปัญหาได้อย่างเหมาะสม

เอกสารอ้างอิง

  1. Witt AM, Bolman M, Kredit S, Vanic A. Therapeutic Breast Massage in Lactation for the Management of Engorgement, Plugged Ducts, and Mastitis. J Hum Lact 2016;32:123-31.
  2. Anderson L, Kynoch K, Kildea S. Effectiveness of breast massage in the treatment of women with breastfeeding problems: a systematic review protocol. JBI Database System Rev Implement Rep 2016;14:19-25.
  3. Witt AM, Bolman M, Kredit S. Mothers Value and Utilize Early Outpatient Education on Breast Massage and Hand Expression in Their Self-Management of Engorgement. Breastfeed Med 2016;11:433-9.
  4. Kyo T. [Observation on initiation of breast feeding: the relationship between Okeya’s method of breast massage and the quantity of milk secretion]. Josanpu Zasshi 1982;36:548-9.
  5. Ahn S, Kim J, Cho J. [Effects of breast massage on breast pain, breast-milk sodium, and newborn suckling in early postpartum mothers]. J Korean Acad Nurs 2011;41:451-9.
  6. Bolman M, Saju L, Oganesyan K, Kondrashova T, Witt AM. Recapturing the art of therapeutic breast massage during breastfeeding. J Hum Lact 2013;29:328-31.

?