รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์
การที่การโอบกอดทารกเนื้อแนบเนื้อต้องการการปฏิบัติเป็นเวลานานอย่างน้อย 1 ชั่วโมง เนื่องจาก ในชั่วโมงแรกหลังการเกิด ทารกจะมีพัฒนาการจากการปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมภายนอก โดยต้องมีกระบวนการเปลี่ยนแปลงตามสัญชาตญาณตามธรรมชาติเป็นลำดับใน 9 ขั้นตอน1 ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 ร้องไห้ขณะเกิด (birth cry) ทารกจะร้องไห้เมื่อแรกคลอด ซึ่งทำให้เกิดการขยายและนำอากาศเข้าสู่ปอด
ขั้นตอนที่ 2 ผ่อนคลาย (relaxation) หลังทารกหยุดร้องไห้ ทารกจะผ่อนคลาย ไม่มีขยับแขนขาหรือขยับปาก จะสังเกตเห็นทารกสงบนิ่งอยู่บนอกมารดา
ขั้นตอนที่ 3 ตื่นตัว (awakening) เมื่อถึงระยะนี้ ทารกจะมีการขยับศีรษะและไหล่ โดยทารกจะเข้าสู่ระยะนี้ราว 3 นาทีหลังจากเกิด อาจสังเกตเห็นทารกลืมตา ขยับปาก ขณะที่มีการเคลื่อนไหวของศีรษะและหัวไหล่
ขั้นตอนที่ 4 ขยับหรือเคลื่อนไหว (activity) ทารกจะมีการขยับปากหรือแสดงลักษณะของการดูดชัดเจนขึ้น รวมทั้งหากมีการสัมผัสบริเวณแก้มหรือริมฝีปาก ทารกจะหันเข้าหาและแสดงอาการดูดให้เห็น (rooting reflex) ระยะนี้จะเริ่มราว 8 นาทีหลังการเกิด
ขั้นตอนที่ 5 พัก (resting) เป็นระยะที่ทารกจะหยุดหรือพักจากการขยับหรือเคลื่อนไหว ซึ่งระยะพักจะพบสลับกับการที่ทารกขยับ ดูด หรือเคลื่อนไหวได้ตลอดช่วงที่ทารกอยู่บนอกมารดา
ขั้นตอนที่ 6 คืบคลาน (crawling) ทารกจะค่อย ๆ เคลื่อนตัวไปหาเต้านมและหัวนม ระยะนี้จะเริ่มราว 35 นาทีหลังการเกิด
ขั้นตอนที่ 7 คุ้นเคยกับเต้านมและหัวนม (familiarization) ทารกจะเริ่มมีการสัมผัส เลีย หรืออมหัวนม ซึ่งเป็นการสร้างความคุ้นเคยกับเต้านมและหัวนม พร้อมกับเป็นการส่งสัญญาณให้เต้านมมารดามีความพร้อมที่จะหลั่งน้ำนม ระยะนี้จะเริ่มราว 45 นาทีหลังการเกิด และทารกจะอยู่ในระยะนี้ราว 20 นาทีหรือมากกว่านั้น
ขั้นตอนที่ 8 ดูดนม (suckling) ระยะนี้ทารกจะเริ่มประกบปาก อมหัวนมและลานนม พร้อมกับดูดนม โดยจะเริ่มราว 1 ชั่วโมงหลังการเกิด แต่ในมารดาที่ได้รับการให้ยาแก้ปวดหรือยาระงับความรู้สึก อาจส่งผลให้ระยะนี้เกิดช้าลงได้
ขั้นตอนที่ 9 หลับ (sleep) หลังจากกิจกรรมต่าง ๆ ทารกจะง่วงหลับ ซึ่งจะพบทารกง่วงหลับราว 1 ชั่วโมงครึ่งถึงสองชั่วโมงหลังการเกิด
จะเห็นว่า การที่ทารกจะเข้าสู่ขั้นตอนที่ 8 คือการดูดนมนั้น ทารกต้องใช้เวลาปรับตัวราว 1 ชั่วโมง จึงจะถึงกระบวนการในขั้นตอนที่จะมีความพร้อมในการดูดนม บางคนจึงถือว่าช่วงเวลาในหนึ่งชั่วโมงแรกหลังคลอดเป็นช่วงเวลาที่สำคัญสำหรับการเริ่มต้นการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ จึงเรียกเวลาในช่วงนี้ว่า “ชั่วโมงศักดิ์สิทธิ์ (sacred hour)” ที่ไม่ควรมีกระบวนการอื่นใดมีรบกวน หากถูกรบกวน จะทำให้กระบวนการเหล่านี้ต้องใช้เวลาที่นานขึ้น มีผลทำให้การเริ่มเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เกิดขึ้นช้าลง นอกจากนี้ การให้ความสำคัญแก่ชั่วโมงศักดิ์สิทธิ์ในชั่วโมงแรกหลังคลอดยังมีประโยชน์ต่อมารดา โดยสามารถช่วยลดโดยสามารถช่วยลดการปวดแผลระหว่างการเย็บแผลที่เกิดจากการคลอด2 และลดการเกิดภาวะซึมเศร้าหลังคลอดของมารดาจากประสบการณ์ที่เจ็บปวดจากการคลอดบุตรได้1
เอกสารอ้างอิง
Abdollahpour S, Bolbolhaghighi N, Khosravi A. Effect of the Sacred Hour on Postnatal Depression in Traumatic Childbirth: a Randomized Controlled Trial. J Caring Sci 2019;8:69-74.
Mbalinda S, Hjelmstedt A, Nissen E, Odongkara BM, Waiswa P, Svensson K. Experience of perceived barriers and enablers of safe uninterrupted skin-to-skin contact during the first hour after birth in Uganda. Midwifery 2018;67:95-102.
รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์
การโอบกอดทารกเนื้อแนบเนื้อสามารถทำได้ทันทีเมื่อพร้อมหลังการคลอดและเช็ดตัวทารกให้แห้งแล้ว ทารกไม่จำเป็นต้องอาบน้ำหลังการคลอด1 ควรชะลอการชั่งน้ำหนัก วัดขนาดตัวทารก การให้ยาฆ่าเชื้อป้ายตาทารก การฉีดวิตามินเคและวัคซีนให้กับทารกจนกระทั่งทารกเริ่มการดูดนมครั้งแรกเรียบร้อยแล้ว การอุ้มทารกมาไว้ที่หน้าอกมารดาทำโดยต้องไม่ห่อตัวทารกและมารดาต้องเปิดเสื้อผ้าในบริเวณที่สัมผัสให้เพียงพอ สำหรับการที่จะคลุมผ้าเพื่อความอบอุ่น จะคลุมทั้งทารกและมารดาไปพร้อมกัน ให้สัมผัสมารดาและทารกเนื้อแนบเนื้อ ซึ่งคลุมผ้านี้จะคล้ายกับการให้ลูกอย่างในถุงหน้าท้องของจิงโจ้ที่เรียก Kangaroo care ซึ่งหากสามารถให้การสัมผัสเนื้อแนบเนื้ออย่างน้อยวันละ 6 ชั่วโมงจะช่วยในการเจริญเติบโตและการกินนมแม่ของทารกที่คลอดก่อนกำหนดและน้ำหนักตัวน้อย2 ,3 การที่ทารกได้สัมผัสผิวของมารดาจะช่วยในการพัฒนาการของระบบประสาทสัมผัสและช่วยกลไกออกซิโตซินได้ ขั้นตอนนี้ให้ความสำคัญของการให้ทารกได้สัมผัสกับหน้าอกของมารดาพร้อมกับการสังเกตความพร้อมของทารกในการกินนมแม่ โดยให้ “ วางทารกให้ผิวสัมผัสแนบชิดกับมารดาทันทีหลังคลอดนานอย่างน้อย 1 ชั่วโมง” หรือนานกว่านั้น และกระตุ้นให้มารดาสังเกตความพร้อมในการกินนมแม่ของลูก สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ควรสังเกตมารดาและทารก และดูแลให้ช่วงเวลานี้ทารกได้ใช้เวลาอยู่บนหน้าอกมารดาอย่างสงบ ปราศจากการรบกวน ร่วมกับอาจเสนอความช่วยเหลือในบางกรณีหากมีความจำเป็น
เอกสารอ้างอิง
Morton J, Hall JY, Pessl M. Five steps to improve bedside breastfeeding care. Nurs Womens Health 2013;17:478-88.
Gathwala G, Singh B, Singh J. Effect of Kangaroo Mother Care on physical growth, breastfeeding and its acceptability. Trop Doct 2010;40:199-202.
Flacking R, Ewald U, Wallin L. Positive effect of kangaroo mother care on long-term breastfeeding in very preterm infants. J Obstet Gynecol Neonatal Nurs 2011;40:190-7.
รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์
ในสมัยก่อนที่ยังขาดการรวบรวมข้อมูลอย่างเป็นระบบและใช้ข้อมูลจากหลักฐานเชิงประจักษ์ การตัดสายสะดือทารกจะทำหลังการคลอดทารกทันที หากไม่มีภาวะเร่งด่วนอื่น ๆ แต่เมื่อมีการศึกษามากขึ้นพบว่า การชะลอการตัดสายสะดือ โดยให้มีการรัดหรือตัดสายสะดือหลังคลอดทารกราว 30 วินาทีถึง 2 นาที และจัดทำระดับตัวของทารกอยู่ต่ำกว่าระดับรก จะทำให้เลือดที่อยู่ในรกไหลเข้าสู่ตัวทารก ทารกได้รับเลือดเพิ่มขึ้นและช่วยในการสะสมของธาตุเหล็กด้วย 1 ,2 ซึ่งจะมีประโยชน์ โดยช่วยลดการเกิดภาวะซีดของทารก และความวิตกกังวลของมารดาในเรื่องการขาดธาตุเหล็กจากการให้ลูกกินนมแม่3 ,4
เอกสารอ้างอิง
McAdams RM. Time to implement delayed cord clamping. Obstet Gynecol 2014;123:549-52.
Garofalo M, Abenhaim HA. Early versus delayed cord clamping in term and preterm births: a review. J Obstet Gynaecol Can 2012;34:525-31.
Kc A, Rana N, Malqvist M, Jarawka Ranneberg L, Subedi K, Andersson O. Effects of Delayed Umbilical Cord Clamping vs Early Clamping on Anemia in Infants at 8 and 12 Months: A Randomized Clinical Trial. JAMA Pediatr 2017;171:264-70.
Alzaree F, Elbohoty A, Abdellatif M. Early Versus Delayed Umbilical Cord Clamping on Physiologic Anemia of the Term Newborn Infant. Open Access Maced J Med Sci 2018;6:1399-404.
รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์
หากทารกคลอดปกติทางช่องคลอดตามเวลาที่เหมาะสมจะเป็นการดีที่สุดสำหรับการเริ่มการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ การคลอดที่รวดเร็วหรือเนิ่นนานเกินไปไม่ว่าจะเป็นจากการชักนำให้เกิดหรือเป็นภาวะแทรกซ้อน ล้วนแล้วแต่อาจก่อให้เกิดผลเสียแก่มารดาและทารก เช่นการชักนำให้เกิดการคลอดที่เร็วขึ้นโดยการใช้ยาเร่งคลอดหรือใช้เครื่องดูดสุญญากาศทำให้ทารกคลอดเร็วขึ้นโดยขาดความจำเป็นทางการแพทย์ ช่องคลอดที่ยังไม่ได้มีการปรับตัวหรือยังไม่พร้อมจะเกิดการฉีกขาดได้มากกว่า มารดาอาจตกเลือดหลังคลอด และทารกที่ใช้เครื่องดูดสุญญากาศจะมีโอกาสที่จะเกิดอันตรายแก่ศีรษะทารกได้มากกว่า โดยส่งผลต่อการเรียงตัวของกะโหลกศีรษะ เส้นประสาทและการทำงานของกล้ามเนื้อ ซึ่งจะมีผลต่อการเริ่มเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ตามมาได้ เช่นเดียวกับการคลอดที่ปล่อยให้เนิ่นนาน ทำให้มารดาและทารกอ่อนล้า การเริ่มต้นเลี้ยงลูกด้วยนมแม่จึงเกิดได้ช้าด้วย1
เอกสารอ้างอิง
ภาวิน พัวพรพงษ์. รอบรู้เรื่องการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่. นครนายก: ซี.ที. ดอทคอม; 2558.
รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์
ในสมัยก่อน การคลอดมักคลอดที่บ้าน การดูแลการคลอดจะใช้หมอตำแย ซึ่งจะดูแลให้การเบ่งคลอดและการคลอดเป็นไปตามธรรมชาติ ซึ่งจะไม่มีการตัดฝีเย็บ หมอตำแยจะพยายามช่วยให้ทารกคลอดออกมาตามกลไกการคลอด แต่หากการคลอดติดขัดหรือการคลอดเนิ่นนาน หรือมีภาวะแทรกซ้อนจากการคลอดเกิดการฉีกขาดของฝีเย็บที่รุนแรง ก็จะเกิดภาวะแทรกซ้อน ทำให้มารดาตกเลือดมากและอาจมีการเสียชีวิตได้ ในกรณีที่มีการฉีกขาดของฝีเย็บที่รุนแรง หากสามารถดูแลการตกเลือดได้ มารดาอาจมีภาวะแทรกซ้อนเกี่ยวกับการควบคุมการเบ่งถ่ายอุจจาระ ทำให้กลั้นอุจจาระไม่ได้ เนื่องจากมีการฉีกขาดของกล้ามเนื้อหูรูดบริเวณทวารหนัก เมื่อการแพทย์แผนตะวันตกเข้ามา เริ่มมีการแนะนำให้มีการตัดฝีเย็บเพื่อลดภาวะแทรกซ้อนของการฉีกขาดของกล้ามเนื้อหูรูดบริเวณทวารหนัก ทำให้แพทย์แผนปัจจุบันทำการตัดฝีเย็บให้แก่ผู้คลอดทุกราย อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันเมื่อมีการรวบรวมเก็บข้อมูลโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์พบว่า ควรพิจารณาการตัดฝีเย็บเมื่อมีความจำเป็น การตัดฝีเย็บทุกรายจะเสี่ยงต่อการเกิดการฉีกขาดของแผลที่ฝีเย็บที่มีความรุนแรงมากกว่า 1 ,2 ทำให้มารดาปวดแผลและนั่งลำบากในช่วงแรกหลังคลอด ซึ่งส่งผลต่อการโอบกอดทารกเนื้อแนบเนื้อของมารดา การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่และความผูกพันของมารดากับทารก หากมารดาปวดแผลมาก การให้มารดานอนลง กอดและให้นมลูกอาจจะช่วยลดปัญหาเหล่านี้ได้
เอกสารอ้างอิง
Sulaiman AS, Ahmad S, Ismail NA, Rahman RA, Jamil MA, Mohd Dali AZ. A randomized control trial evaluating the prevalence of obstetrical anal sphincter injuries in primigravida in routine versus selective mediolateral episiotomy. Saudi Med J 2013;34:819-23.
Rodriguez A, Arenas EA, Osorio AL, Mendez O, Zuleta JJ. Selective vs routine midline episiotomy for the prevention of third- or fourth-degree lacerations in nulliparous women. Am J Obstet Gynecol 2008;198:285 e1-4.
เรื่องนำทาง
แหล่งความรู้ เกี่ยวกับสูติ-นรีเวช (Obstetrics-Gynecology)