เรื่องทั้งหมดโดย OB-GYN

น้ำนมมารดาในระยะแรกหลังคลอด ตอนที่ 2

รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์

ทุก ๆ ครั้งที่ทารกดูดนมจากเต้าจะมีกระตุ้นการหลั่งโปรแลกติน (ฮอร์โมนที่สร้างน้ำนม) จากต่อมใต้สมองส่วนหน้าและออกซิโตซิน (ฮอร์โมนที่ขับน้ำนมพุ่ง) จากต่อมใต้สมองส่วนหลัง  ฮอร์โมนออกซิโตซินจะกระตุ้นให้เซลล์เยื่อบุกล้ามเนื้อที่อยู่รอบ ๆ ต่อมน้ำนมหดตัว ส่งให้น้ำนมไหลผ่านท่อน้ำนมไปยังหัวนม โดยเรียกกลไกนี้ว่า กลไกน้ำนมพุ่ง (milk ejection reflex) หรือกลไกการไหลของน้ำนม (let-down reflex) ซึ่งมารดาอาจสังเกตได้จากการที่มีความรู้สึกคล้ายมีเข็มหมุดหรือเข็มมาสัมผัสที่ในเต้านม หรือมีระลอกคลื่นของความร้อนผ่านมาจากในเต้านม ขณะที่มารดาบางคนอาจไม่รู้สึกอะไรเลย แต่จะสังเกตเห็นน้ำนมหยดออกมาจากหัวนม เมื่อน้ำนมเริ่มไหล ทารกจะเปลี่ยนวิธีที่ขยับปากในรูปแบบที่มีการเคลื่อนของขากรรไกรที่กว้างขึ้น และมีการขยับของลิ้นลง ซึ่งจะส่งผลให้ความดันในช่องปากของทารกลดลง และเกิดการไหลของน้ำนมเพิ่มขึ้น เมื่อมีการไหลของน้ำนม จะส่งผลให้ทารกเกิดการกลืนเป็นจังหวะอย่างช้า ๆ และอาจได้ยินเสียง “โกวะฮ์ (cuh)” ที่เป็นเสียงจากการกลืนเบา ๆ  โดยที่การกลืนน้ำนมของทารก จะเป็นตัวบ่งชี้ที่ดีว่าทารกดูดนมได้อย่างมีประสิทธิภาพ1

เอกสารอ้างอิง

1.        Naylor AJ, Wester RA. Lactation management self-study modules, level 1, fourth edition. In: International W, ed.2014.

น้ำนมมารดาในระยะแรกหลังคลอด ตอนที่ 1

รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์

หลังคลอดบุตร มารดาจะมีหัวน้ำนมหรือน้ำนมเหลือง โดยปริมาณน้ำนมเหลืองทั้งหมดที่มีในวันแรกแม้จะมีปริมาณน้อย (40-50 มล.) แต่จะพอดีกับความจุกระเพาะอาหารของทารกแรกเกิดซึ่งมีขนาดเล็กประมาณ 20 มล. (ประมาณ 4 ช้อนชา) หรือ 5 มล. / กก.

น้ำนมปกติจะเริ่มปรากฎในสองสามวันหลังคลอด (การสร้างน้ำนมระยะที่ 2) ไม่ว่ามารดาจะให้ทารกกินนมแม่หรือไม่ แต่การกระตุ้นโดยการดูดนมจากเต้านมของทารกจะช่วยในการสร้างและคงหรือรักษาการสร้างน้ำนม การสร้างนมแม่จะถูกกำหนดโดย “การกินนมของทารก” ซึ่งก็คือ หากทารกหิวจะกระตุ้นโดยการดูดนมนานและทารกจะหยุดการกระตุ้นเมื่อทารกอิ่ม นมแม่จะย่อยง่าย ดังนั้นทารกจึงส่งสัญญาณว่าต้องดูดหรือกินทุก 2-3 ชั่วโมง (บางครั้งบ่อยกว่านั้น) หรืออย่างน้อย 8 ครั้งในทุก 24 ชั่วโมงในช่วงสัปดาห์แรก ๆ   แต่ในทารกบางคนอาจมีลักษณะการกินนมถี่หรือกระจุกตัวอยู่ในช่วง 24 ชั่วโมงแรก และจะกินนมน้อยลงในช่วง 24 ชั่วโมงที่ถัดไป

ขณะที่มารดาให้นมแม่จะมีปฏิกิริยาตอบสนองอัตโนมัติและฮอร์โมนที่เป็นตัวกำหนดปริมาณน้ำนม การสร้างน้ำนมได้รับอิทธิพลในเชิงบวกจากการดูดนมตั้งแต่ในระยะแรก ดูดนมบ่อย และดูดนมอย่างมีประสิทธิภาพ  สำหรับอิทธิพลเชิงลบจะเป็นผลจากการเริ่มทารกดูดนมช้าและดูดนมไม่บ่อยพอ หรือการให้ทารกกินของเหลวหรืออาหารอื่น ๆ นอกเหนือจากนมแม่ก่อนทารกอายุหกเดือน1

เอกสารอ้างอิง

1.        Naylor AJ, Wester RA. Lactation management self-study modules, level 1, fourth edition. In: International W, ed.2014.

ความรู้สรีรวิทยาพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับการให้นมแม่

รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์

สรีรวิทยาพื้นฐานที่มารดาควรเข้าใจคือ เรื่องของกลไกการหลั่งน้ำนม โดยในระหว่างการตั้งครรภ์มีฮอร์โมนหลายชนิดที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ฮอร์โมนที่มีความสำคัญ ได้แก่ เอสโตรเจน โปรเจสเตอโรนและโปรแลกติน ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนที่เพิ่มสูงขึ้นในระหว่างตั้งครรภ์จะป้องกันไม่ให้โปรแลกตินกระตุ้นให้เกิดการหลั่งน้ำนม แต่หลังการคลอดของรก ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนและฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนจะลดลงอย่างมาก ในขณะที่ระดับโปรแลกตินยังคงสูงขึ้น นี่คือสัญญาณให้เต้านมเริ่มสร้างและหลั่งน้ำนม ซึ่งการที่ร่างกายมารดารับรู้ว่าโปรแลกตินสูงขึ้นเกิดจากตัวรับที่จะตอบสนองการทำงานฮอร์โมนโปรแลกตินในเต้านมจะเพิ่มขึ้นในระยะหลังคลอด สำหรับหัวน้ำนม (colostrum) จะมีการสร้างและมีอยู่ในเต้านมตั้งแต่ช่วงประมาณสัปดาห์ที่ 20 ของการตั้งครรภ์ (การสร้างน้ำนมระยะที่ 1) โดยหัวน้ำนมจะพร้อมที่จะให้ทารกแรกเกิดในช่วงสองสามวันแรกของชีวิตจนกว่าจะมีการสร้างน้ำนมในระยะเปลี่ยนแปลง และสร้างน้ำสมสมบูรณ์ที่จะมีปริมาณที่มากขึ้น ทารกปกติที่คลอดกำหนดจะเกิดมาพร้อมกับปฏิกิริยาตอบสนองอัตโนมัติและพฤติกรรมหลายอย่างที่จะช่วยให้มั่นใจว่าทารกแรกเกิดจะมีชีวิตรอดจากการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมในมดลูกสู่ชีวิตนอกมดลูก โดยปฏิกิริยาตอบสนองอัตโนมัติเหล่านี้ทำให้ทารกแรกเกิดสามารถเริ่มดูดและกินนมได้ทันทีหลังคลอด1

เอกสารอ้างอิง

1.        Naylor AJ, Wester RA. Lactation management self-study modules, level 1, fourth edition. In: International W, ed.2014.

ความรู้กายวิภาคพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับการให้นมแม่

รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์

โครงสร้างที่สำคัญของเต้านม ได้แก่ หัวนม ลานนม เนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง ต่อมน้ำนม (ที่อยู่ที่ปลายท่อน้ำนมที่จะรวมกันเป็นพวง) ที่ประกอบด้วยเซลล์เยื่อบุกล้ามเนื้อ (myoepithelial cell) ท่อน้ำนม ท่อน้ำเหลือง เอ็นคูเปอร์ (Cooper’s ligament) และไขมัน โดยไขมันจะเป็นตัวกำหนดขนาดและรูปร่างของเต้านม ขณะเดียวกันก็ใช้สำหรับการสร้างไขมันในน้ำนม จากการศึกษาที่ผ่านมาพบว่า ทารกที่กินนมจากมารดาที่มีขนาดเต้านมเล็กมีแนวโน้มที่จะกินนมบ่อยกว่าทารกที่กินนมจากมารดาที่มีขนาดเต้านมใหญ่ นอกจากนี้ ประสาทรับรู้สัมผัสที่เริ่มต้นมาจากเส้นประสาทระหว่างซี่โครงที่ 3, 4, 5 และ 6 ก็มีส่วนสำคัญในการสร้างน้ำนมในช่วงของการตั้งครรภ์เช่นกัน โดยจะพบว่ามารดาจะสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของเต้านม ได้แก่ การเจ็บ การคัดตึง และการขยายตัวของหลอดเลือดบริเวณเต้านมที่เห็นเด่นชัดขึ้นในช่วงแรกของการตั้งครรภ์ และในขณะที่อายุขึ้นเพิ่มขึ้นมารดาจะเห็นว่าลานนมจะมีการขยายขนาดและมีสีคล้ำขึ้น ต่อมมอนต์โกเมอรี (Montgomery’s gland) ซึ่งเป็นตุ่มเล็ก ๆ ภายในบริเวณลานนมจะเห็นชัดมากขึ้น ซึ่งจะทำหน้าที่หลั่งสารหล่อลื่นที่ช่วยเคลือบและปกป้องหัวนมและลานนม โดยหัวนมตั้งอยู่ตรงกลางของลานนมและมีรูเปิดท่อน้ำนมประมาณ 5-9 ช่อง

กลีบย่อย (lobules) ในเต้านมของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมประกอบด้วยต่อมน้ำนม ซึ่งเป็นอยู่กลุ่มคล้ายองุ่นโดยทำหน้าที่ผลิตน้ำนมเพื่อตอบสนองต่อฮอร์โมนโปรแลกติน (prolactin) ต่อมน้ำนมจะถูกล้อมรอบด้วยเซลล์เยื่อบุกล้ามเนื้อ (myoepithelial cell) ซึ่งมีโครงสร้างที่เป็นเส้นที่ขึงอยู่รอบ ๆ ต่อมน้ำนม ซึ่งเซลล์นี้จะตอบสนองต่อฮอร์โมนออกซิโตซินโดยการหดตัวและบีบน้ำนมออกจากต่อมน้ำนม ผ่านท่อน้ำนมไปยังหัวนม1

เอกสารอ้างอิง

1.        Naylor AJ, Wester RA. Lactation management self-study modules, level 1, fourth edition. In: International W, ed.2014.

การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่จำเป็นต้องมีการเรียนรู้และฝึกฝน

รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์

แม้ว่าปกติแล้วร่างกายของมารดาจะผลิตน้ำนมได้ตามธรรมชาติของการดำรงเผ่าพันธุ์ แต่เทคนิคการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เป็นทักษะที่ได้จากการเรียนรู้ ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนและมีการฝึกฝน บิดามารดาส่วนมากต้องการการช่วยเหลือโดยการสนับสนุนข้อมูลในเรื่องการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ตั้งแต่ในระยะฝากครรภ์ และต้องการที่จะทราบโอกาสที่มารดาจะสามารถเข้าเต้าพร้อมกับมีความสามารถในประเมินการกินนมแม่อย่างมีประสิทธิภาพของทารกได้ในระยะหลังคลอด การช่วยให้บิดามารดามีความรู้และทักษะเหล่านี้จะทำให้ครอบครัวมีความเชื่อมั่นที่จะให้นมลูกด้วยความสบายใจและมีความพร้อมที่จะสัมผัสกับความรู้สึกของการเป็นพ่อแม่ที่เป็นประสบการณ์ส่วนตัวที่ทั้งบิดามารดาจะได้รับ

กุญแจสำคัญในการช่วยเหลือครอบครัวใหม่ที่เริ่มต้นการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่คือ ความเข้าใจเกี่ยวกับกายวิภาคพื้นฐานของเต้านม สรีรวิทยาของกระบวนการสร้างและระบายน้ำนม โดยที่การให้ความรู้นี้จะมุ่งเน้นไปที่ศาสตร์ของการให้นมบุตรและทักษะทางคลินิกในทางปฏิบัติที่จะทำให้มารดาสามารถจะเริ่มต้นการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้ พร้อมกับมีการประสานของความรู้ทั้งทางด้านสูติศาสตร์และกุมารเวชศาสตร์เข้าด้วยกัน เพื่อจัดการให้การดูแลมารดาในระยะหลังคลอดและทารกแรกเกิด ซึ่งผลของการดูแลนั้นจะกระทบต่อการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในระยะแรกและผลลัพธ์ที่ตามมาของความสำเร็จหรือการหยุดการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ สำหรับข้อที่ควรคำนึงถึงเสมอเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ก็คือ “มารดาและทารกเป็นหน่วยเดียวกันทางชีววิทยา เมื่อเกิดสิ่งหนึ่งสิ่งใดกับมารดาก็ย่อมเกิดผลต่อการให้นมทารกด้วยรวมทั้งผลกระทบในทางกลับกัน”1

เอกสารอ้างอิง

1.        Naylor AJ, Wester RA. Lactation management self-study modules, level 1, fourth edition. In: International W, ed.2014.