
รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์
การที่จะทราบว่ามารดามีการให้นมลูกที่ถูกต้องหรือไม่นั้น จำเป็นต้องมีการสังเกตมารดาในขณะที่ให้นมลูก ดังนั้นบุคลากรทางการแพทย์จึงควรมีการประเมินการให้นมลูกในระหว่างการสังเกตการให้นมลูก โดยขั้นตอนการสังเกตมารดาขณะให้นมลูกจะเป็นสิ่งช่วยบอกถึงการเข้าเต้าที่ดีและมีการดูดนมที่มีประสิทธิภาพหรือไม่ โดยเริ่มจากการสังเกตมารดาและทารก สังเกตเต้านม สังเกตท่าของทารก การอ้าปากอมหัวนมและลานนม และสังเกตการดูดนมของทารก ซึ่งจะเริ่มต้นด้วยการดูว่ามารดาและทารกพร้อมที่จะให้นมหรือไม่ ลักษณะของเต้านมปกติ ทารกมีอาการอยากกินนม สังเกตการอ้าปากอมหัวนมและลานนมที่ดี ได้แก่ คางทารกชิดอก ปากทารกเปิดกว้าง ริมฝีปากล่างปลิ้นออก และขณะทารกดูดนมลานนมด้านบนเห็นมากกว่าด้านล่าง การสังเกตลักษณะของการอ้าปากอมหัวนมและลานนมไม่ดี ได้แก่ คางทารกห่างอก ปากทารกไม่กว้าง ริมฝีปากล่างตรงหรือเข้าได้ใน และมองเห็นลานนมด้านล่างมากกว่าด้านบน ซึ่งเมื่อมารดามีการเข้าเต้าและให้นมได้อย่างถุกต้องเหมาะสม จะลดการเกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ที่จะทำให้มารดาหยุดการให้นมลูกก่อนเวลาอันควรได้1
เอกสารอ้างอิง
- ภาวิน พัวพรพงษ์. รอบรู้เรื่องการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่. นครนายก: ซี.ที. ดอทคอม; 2558.

รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์
ในการดูแลและป้องกันปัญหานี้ สิ่งแรกที่ต้องทำคือการสอนให้มารดาสามารถสังเกตได้ว่าทารกมีอุจจาระที่ปกติ หรือมีอาการท้องเสีย หรือท้องผูก ส่วนใหญ่ในทารกที่กินนมแม่มักพบว่าทารกถ่ายอุจจาระบ่อยมากกว่าการถ่ายอุจจาระแข็ง สำหรับอาการท้องเสียสังเกตได้จากอุจจาระทารกจะมีมูกเลือด ทารกมีไข้หรือมีอาการซึมร่วมด้วย ซึ่งมารดาควรนำทารกไปรับการตรวจรักษาจากแพทย์ สำหรับการที่ทารกถ่ายอุจจาระบ่อย มีน้ำปนเนื้ออุจจาระ ลักษณะปกติ ส่วนมากเกิดจากการที่ทารกกินเฉพาะน้ำนมส่วนหน้าที่มีน้ำตาลแลกโตสมาก ซึ่งจะย่อยได้เร็ว ขับถ่ายบ่อย ทารกจะหิวและร้องกินนมบ่อย การที่ทารกได้รับเฉพาะน้ำนมส่วนหน้ามักเกิดจากมารดาไม่ได้ให้นมทารกกินจนเกลี้ยงเต้าจากเต้านมข้างที่กินนมอยู่ก่อน แต่จะได้รับการเปลี่ยนให้ทารกกินนมจากเต้านมอีกข้างหนึ่งก่อนที่ทารกจะกินน้ำนมส่วนหลังที่มีปริมาณไขมันสูง ซึ่งการที่ทารกได้กินน้ำนมส่วนหลังจะส่งผลทำให้ทารกถ่ายไม่บ่อย อิ่ม และหลับได้นาน ดังนั้น การป้องกันการถ่ายอุจจาระบ่อยจากทารกกินน้ำนมส่วนหน้าคือ การให้มารดาให้ทารกกินนมจนเกลี้ยงเต้าก่อนจะเปลี่ยนไปให้นมจากเต้านมอีกข้างหนึ่ง
การพบทารกถ่ายอุจจาระแข็ง มักไม่พบในทารกที่กินนมแม่ แต่จะพบได้ในทารกที่กินนมผงดัดแปลงสำหรับทารก โดยสาเหตุที่พบบ่อยคือ การชงนมผงดัดแปลงสำหรับทารกเข้มข้นน้อยกว่าที่ควรชงตามฉลากที่บ่งบอกไว้หรือจางเกินไป การแก้ไขคือ การปรับการชงนมให้ได้สัดส่วนตามฉลากที่บ่งบอกไว้และใช้ถ้วยตวงตามขนาดและชนิดของนมผงดัดแปลงสำหรับทารกที่มีไว้ให้ นอกจากนี้ หากทารกมีการกินอาหารเสริมอย่างอื่น ๆ นอกเหนือจากการกินนมแม่ในช่วงหกเดือนแรก ปัจจัยนี้จะเป็นสาเหตุของการเกิดอาการท้องผูกและท้องเสียในทารกได้เช่นกัน1
เอกสารอ้างอิง
- ภาวิน พัวพรพงษ์. รอบรู้เรื่องการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่. นครนายก: ซี.ที. ดอทคอม; 2558.

รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์
ทารกที่กินนมแม่จะมีการผ่านของขี้เทาในลำไส้ทารกที่เห็นเป็นลักษณะสีเขียวเข้มได้อย่างรวดเร็ว และจะพบอุจจาระของทารกเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอ่อนนุ่ม มีเนื้ออุจจาระปนน้ำเล็กน้อย โดยทารกที่กินนมแม่อาจจะมีการถ่ายอุจจาระบ่อยหรืออาจจะมีการถ่ายทุกครั้งที่กินนม แต่เมื่อทารกอายุมากขึ้น การถ่ายอุจจาระอาจมีการถ่ายทุกสองถึงสามวันได้ และอาจพบเห็นว่าทารกมีหน้าแดงหรือเกร็งตัวเมื่อมีการบีบตัวของลำไส้ โดยสิ่งนี้เป็นลักษณะปกติ และไม่ได้แสดงถึงการมีอาการท้องผูก ลักษณะอุจจาระที่แข็ง แห้งและมองดูคล้ายลวดลายของหินอ่อนจะบ่งบอกว่าทารกมีอาการท้องผูก
สำหรับอาการท้องเสีย สังเกตทารกจะมีอุจจาระเป็นน้ำ โดยจะมีเนื้อน้อยมาก หากทารกใส่ผ้าอ้อม จะเห็นเนื้ออุจจาระน้อยมากติดที่ผ้าอ้อมและมีน้ำเปียกชุ่มซึมซับอยู่ในผ้าอ้อม ซึ่งการมีอาการท้องเสียจะเกิดอันตรายแก่ทารกได้ ดังนั้นมารดาควรได้รับคำแนะนำเกี่ยวกับการสังเกตลักษณะอุจจาระของทารกที่ปกติและผิดปกติเพื่อให้การดูแลทารกทำได้อย่างเหมาะสม1
เอกสารอ้างอิง
- ภาวิน พัวพรพงษ์. รอบรู้เรื่องการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่. นครนายก: ซี.ที. ดอทคอม; 2558.

รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์
อาการแหวะนมหรืออาการสำรอก (regurgitation) พบได้บ่อยในทารก สาเหตุของการที่ทารกแรกเกิดมีการแหวะนมหรือสำรอกได้ง่ายเกิดจากการที่ทารกกินนมมากเกินไปในขณะที่กล้ามเนื้อหูรูดของหลอดอาหารยังทำงานได้ไม่ดีหรือไม่สมบูรณ์ หรือบางครั้งการสำรอกอาจเกิดจากการที่ทารกกินนมและดูดอากาศเข้าไปในกระเพาะมาก เมื่ออากาศถูกไล่ออกมา จะมีน้ำนมไหลปนออกมาด้วย
การดูแลและป้องกันทารกแหวะนมหรือสำรอก ทำได้โดยจัดท่าให้ทารกอยู่ในลักษณะนั่งลำตัวตั้งตรงหลังจากกินนม การให้ทารกกินนมครั้งหนึ่งน้อยลงและให้บ่อยครั้งขึ้นอาจจะช่วยได้ นอกจากนี้ ไม่ควรรอหรือปล่อยให้ทารกกินนมขณะที่หิวมาก เนื่องจากทารกอาจกลืนเร็วเกินไปและกลืนลมเข้าไปมากด้วยทำให้แหวะนมหรือสำรอกได้ ดังนั้น ควรจับทารกให้เรอเป็นช่วงๆ หากทารกกินและกลืนนมเร็ว โดยท่าที่ใช้อุ้มทารกให้เรออาจใช้ท่าอุ้มพาดบ่าให้หน้าท้องกดบริเวณหัวไหล่เพื่อไล่ลม หรืออาจใช้ท่าอุ้มนั่งบนตัก หันหน้าออก โดยมือข้างหนึ่งจับที่หน้าอกทารก มืออีกข้างหนึ่งลูบหลังทารกหรือเคาะเบาๆ พร้อมกับโน้มตัวทารกไปข้างหน้า1
อย่างไรก็ตาม มารดาและครอบครัวควรได้รับการสอนให้แยกความแตกต่างระหว่างการแหวะนมหรือสำรอกกับอาการอาเจียน อาการแหวะนมหรือสำรอกมักไม่เป็นอันตราย แต่อาการอาเจียนเป็นอาการแสดงอย่างหนึ่งของความเจ็บป่วยหรือความผิดปกติของทารก การแหวะนมหรือสำลักปริมาณนมที่ไหลออกมามักไม่มากและไหลออกมาไม่แรง อาการอาเจียนปริมาณนมที่ออกมาจะมากหรือทั้งมื้อของการกินนมและไหลออกมาแรงเป็นลักษณะพุ่งออกมา หากอาเจียนไกลหรืออาเจียนพุ่งอาจพบในทารกที่มีการอุดตันของกระเพาะ (pyloric stenosis) ได้
เอกสารอ้างอิง
- ภาวิน พัวพรพงษ์. รอบรู้เรื่องการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่. นครนายก: ซี.ที. ดอทคอม; 2558.

รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์
หลังจากที่มารดาเข้าใจลักษณะการนอนของทารกแล้ว วิธีที่จะช่วยให้ทารกหลับ ไม่ตื่นบ่อยในเวลากลางคืน ทำได้โดยการปฏิบัติดังต่อไปนี้1
- การจัดห้องนอนทารก ควรให้มีบรรยากาศที่เงียบสงบ และใช้แสงไฟที่สามารถปรับแสงได้โดยใช้แค่แสงเพียงพอที่มารดาจะให้นมลูกได้
- การมีเสียงเพลงเบา ๆ อาจจะช่วยให้ทารกหลับได้ดีขึ้น หลีกเลี่ยงกิจกรรมอื่น ๆ นอกจากการให้นมลูก เพื่อลดความสับสนของทารกว่าอาจเป็นเวลาเล่น และพูดคุยกับทารกเท่าที่จำเป็น
- การให้นมลูก ให้เท่าที่ทารกต้องการโดยไม่จำเป็นต้องกระตุ้นเพิ่ม
- การเปลี่ยนผ้าอ้อมก่อนให้นมลูก เพื่อลดการกระตุ้นให้ทารกตื่นหลังกินนม
- การไกวเปลหรือโยกเยก หากจะใช้ ควรใช้ในขณะที่ทารกเริ่มง่วง
เอกสารอ้างอิง
- ภาวิน พัวพรพงษ์. รอบรู้เรื่องการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่. นครนายก: ซี.ที. ดอทคอม; 2558.
แหล่งความรู้ เกี่ยวกับสูติ-นรีเวช (Obstetrics-Gynecology)