รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์
นมแม่ถือเป็นอาหารมาตรฐานสำหรับทารกแรกเกิด ซึ่งหากมีการเริ่มต้นการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ตั้งแต่ในระยะแรกหลังคลอดจะช่วยจะช่วยเพิ่มระยะเวลาของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่และเพิ่มความสำเร็จในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ด้วย มีการศึกษาเพิ่มเติมถึงประโยชน์ของการเริ่มต้นการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ตั้งแต่ในระยะแรกกับการเจริญเติบโตของทารกเมื่อเข้าสู่ช่วงวัยเด็กเล็ก (toddlers) พบว่าทารกที่ไม่ได้เริ่มต้นการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ตั้งแต่ในระยะแรกจะมีความเสี่ยงที่จะพบภาวะแคระแกร็น (stunting) เมื่อทารกเจริญย่างเข้าสู่วัยเด็กเล็กเพิ่มขึ้น 1.5 เท่า หรือมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นราวร้อยละ 50 ที่จะเกิดภาวะแคระแกร็น 1 นอกจากนี้ยังพบว่าการเสริมวิตามินเออาจมีส่วนช่วยในค่าความสูงของทารกเมื่อเทียบเคียงในอายุเดียวกันของทารก อย่างไรก็ตาม ความจำเป็นในการเสริมวิตามินหรือแร่ธาตุให้กับทารกขึ้นอยู่กับความเสี่ยงที่จะพบการขาดวิตามินหรือแร่ธาตุในแต่ละพี้นที่ ซึ่งจำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมในแต่ละพื้นที่เพื่อให้การเสริมวิตามินและแร่ธาตุนั้นเหมาะสมกับภาวะโภชนการของทารกอย่างแท้จริง
เอกสารอ้างอิง
Simanjuntak BY, Haya M, Suryani D, Ahmad CA. Early Inititation of Breastfeeding and Vitamin A Supplementation with Nutritional Status of Children Aged 6-59 Months. Kesmas 2018;12:107-13.
รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์
กระบวนการตั้งแต่การดูแลครรภ์ จนกระทั่งมารดาคลอด และการดูแลมารดาหลังคลอดล้วนมีผลต่อการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ซึ่งบุคลาการทางการแพทย์จำเป็นต้องมีความรู้และความเข้าใจในเรื่องเหล่านี้เป็นอย่างดี เพื่อนำมาเป็นแนวทางการปฏิบัติที่ดีในการสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ให้เหมาะสมกับบริบทของสถานพยาบาล 1 โดยนับตั้งแต่มารดาเริ่มตั้งครรภ์และเริ่มมาฝากครรภ์ที่โรงพยาบาล ควรมีการให้ความรู้เรื่องประโยชน์และความสำคัญของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่แก่มารดาและครอบครัวรวมถึงบุคคลที่มีอิทธิพลต่อการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เช่น ปู่ย่า ตายาย ในระหว่างการฝากครรภ์ มารดาควรได้รับการตรวจร่างกายและตรวจเต้านมเพื่อดูความพร้อมในการให้นมแม่และความผิดปกติที่อาจพบในระหว่างการตั้งครรภ์ เมื่อมารดามีการตั้งครรภ์ครบกำหนดและเข้าสู่การคลอด การมีบุคลากรที่เป็นพี่เลี้ยงคอยดูแลการคลอดและการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เพื่อช่วยชี้แนะแนวทาง ให้กำลังใจ และให้คำปรึกษากรณีที่มารดามีปัญหาหรืออุปสรรคในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ การดูแลการคลอดควรพิจารณาตามความเสี่ยงของมารดา หากมีความเสี่ยงต่ำอาจไม่มีความจำเป็นต้องงดน้ำงดอาหารในระหว่างการรอคลอดในช่วงแรกเพื่อไม่ให้มารดาอ่อนเพลียหรือเกิดภาวะเครียดในระหว่างการรอคลอด ควรหลีกเลี่ยงการผ่าตัดคลอดที่ไม่จำเป็นซึ่งพบเป็นอุปสรรคต่อการเริ่มต้นการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่หลังคลอด ควรเริ่มต้นการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ตั้งแต่ในระยะแรกภายในหนึ่งชั่วโมงหลังคลอด มีการโอบกอดทารกเนื้อแนบเนื้อ มีการสอนมารดาจัดท่าให้นมลูกอย่างเหมาะสมรวมทั้งการสอนมารดาบีบน้ำนมด้วยมือ กระบวนการเหล่านี้ล้วนมีความจำเป็นและบุคลากรทางการแพทย์ควรให้ความสำคัญเมื่อต้องการสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
เอกสารอ้างอิง
Simon JA, Carabetta M, Rieth EF, Barnett KM. Perioperative Care of the Breastfeeding Patient. AORN J 2018;107:465-74.
รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์
โรงพยาบาลสายสัมพันธ์แม่ลูก (Baby Friendly Hospital Initiative หรือ BFHI) คือ โรงพยาบาลที่เป็นมิตรแก่ทารกและสนับสนุนการให้ทารกได้กินนมแม่ การเป็นมิตรแก่ทารกคือมีนโยบายในการดูแลให้ทารกมีการคลอดอย่างปลอดภัยและมีการดูแลหลังคลอดอย่างเหมาะสมรวมถึงการสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ มีการปฏิบัติตามบันไดสิบขั้นสู่ความสำเร็จในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ซึ่งได้รับการศึกษาและมีหลักฐานเชิงประจักษ์ว่า สามารถช่วยให้มารดาให้นมลูกได้สำเร็จหรือก็คือการช่วยเพิ่มอัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้1 อย่างไรก็ตาม มีข้อมูลว่ามารดาทั่วโลกน้อยกว่าร้อยละ 10 ที่คลอดในโรงพยาบาลสายสัมพันธ์แม่ลูก 2 ซึ่งทำให้มารดาพลาดโอกาสที่จะให้นมแม่แก่ลูกสำเร็จ และผลคือยังไม่บรรลุเป้าหมายการส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ตามที่กำหนดโดยองค์การอนามัยโลก ดังนั้น การรณรงค์การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่จำเป็นต้องมีการดำเนินการเพื่อเพิ่มโรงพยาบาลสายสัมพันธ์แม่ลูก ร่วมกับมีรูปแบบอื่นในการสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ได้แก่ บันไดสิบขั้นในการดูแลทารกที่ป่วย การให้ความรู้แก่มารดาในระหว่างการตั้งครรภ์ ขณะคลอด และหลังคลอด การเพิ่มระยะเวลาการลาคลอด การช่วยแก้ปัญหาหรืออุปสรรคในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เมื่อแม่ต้องกลับไปทำงาน เป็นต้น เพื่อเป็นการช่วยในการสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในหลากหลายภาคส่วน
เอกสารอ้างอิง
Spaeth A, Zemp E, Merten S, Dratva J. Baby-Friendly Hospital designation has a sustained impact on continued breastfeeding. Maternal and Child Nutrition 2018;14.
Spatz DL. Beyond BFHI: The Spatz 10-Step and Breastfeeding Resource Nurse Model to Improve Human Milk and Breastfeeding Outcomes. J Perinat Neonatal Nurs 2018;32:164-74.
รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์
โดยทั่วไปนมแม่มักจะมีเพียงพอสำหรับทารก ดังนั้นจึงมักไม่มีความจำเป็นในการที่จะเพิ่มน้ำนมแม่ อย่างไรก็ตาม ในการศึกษาต่าง ๆ หลายการศึกษามีความพยายามจะหาตัวยาหรือสมุนไพรที่จะช่วยเพิ่มน้ำนมแม่ ซึ่งสมุนไพรที่น่าจะช่วยเพิ่มปริมาณน้ำนมก็มีหลายตัว ทั้งสมุนไพรที่มีรากฐานมาจากประเทศแถบตะวันตก เช่น Fenugreek, Chamomile, Silymarin และ galega และสมุนไพรจากประเทศทางตะวันออก ซึ่งในประเทศไทยมีการศึกษาของคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒพบว่า การให้ขิงที่ผลิตในรูปแคปซูลแก่มารดาหลังคลอดสามารถเพิ่มน้ำนมแม่ในสัปดาห์แรกได้1 และมีการศึกษาของคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า การให้สมุนไพรผสมระหว่าง Fenugreek ขิง และขมิ้นแก่มารดาหลังคลอดสามารถเพิ่มปริมาณน้ำนมได้ดีเริ่มในสัปดาห์ที่สองจนถึงหนึ่งเดือนหลังคลอด2 แม้ความรู้เชิงวิชาการนี้มีความสำคัญ แต่การนำมาปรับใข้ในสภาพชีวิตประจำวันยังมีความลำบาก เนื่องจากในการศึกษาส่วนใหญ่จะเป็นขิงผงแห้ง ขณะที่ในอาหารที่รับประทานจะเป็นขิงสด ซึ่งการคำนวณปริมาณสารที่ออกฤทธิ์เทียบเคียงกันยาก และยังมีความหลายหลากของปริมาณสารออกฤทธิ์ที่อาจแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ที่ปลูก แต่ก็ต้องถือว่าโชคดี ที่ปริมาณของขิงที่นำมาปรุงเป็นอาหารส่วนใหญ่แล้วมักจะมีปริมาณที่สูงกว่าขิงแคปซูลที่ทำการศึกษา ดังนั้น ข้อแนะนำสำหรับการใช้อาหารเพื่อเพิ่มปริมาณน้ำนม การกินอาหารไทยที่มีส่วนประกอบของขิงวันละ 1-2 ครั้งต่อวันน่าจะช่วยเรื่องปริมาณน้ำนมได้
เอกสารอ้างอิง
Paritakul P, Ruangrongmorakot K, Laosooksathit W, Suksamarnwong M, Puapornpong P. The Effect of Ginger on Breast Milk Volume in the Early Postpartum Period: A Randomized, Double-Blind Controlled Trial. Breastfeed Med 2016;11:361-5.
Bumrungpert A, Somboonpanyakul P, Pavadhgul P, Thaninthranon S. Effects of Fenugreek, Ginger, and Turmeric Supplementation on Human Milk Volume and Nutrient Content in Breastfeeding Mothers: A Randomized Double-Blind Controlled Trial. Breastfeed Med 2018.
รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์
การให้ความรู้แก่มารดาในเรื่องการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่มีประโยชน์ในการช่วยสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ แต่ยังวมีรูปแบบการให้ความรู้ที่น่าสนใจอีกแบบหนึ่ง คือ การให้คำปรึกษาแนวคิดทางปัญญา (cognitive counselling) ซึ่งมีรายงานการศึกษาว่าสามารถช่วยปรับความคิดและพฤติกรรมของผู้ที่ได้รับการให้คำปรึกษาได้ มีการนำการให้คำปรึกษาแนวคิดทางปัญญามาใช้ในการสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่โดยให้คำปรึกษามารดาในระหว่างตั้งครรภ์ในช่วงไตรมาสที่สาม ซึ่งมีการเลือกใช้คะแนนการเข้าเต้า (LATCH score) เป็นตัวชี้วัดการประสบความสำเร็จของการให้คำปรึกษา ผลการศึกษาพบว่า มารดาที่ได้รับการให้คำปรึกษาแนวคิดทางปัญญาสามารถเข้าเต้าได้ดีกว่ามารดาที่ได้รับการให้ความรู้ตามปกติ 1 ซึ่งคำอธิบายอาจเป็นเนื่องจากกระบวนการการให้คำปรึกษาแนวคิดทางปัญญานั้น ได้มีกระบวนการให้มารดาได้คิดวิเคราะห์เหตุผลและหาคำตอบด้วยตนเอง เมื่อได้คำตอบที่ผ่านการคิดวิเคราะห์ของตนเองมาแล้ว ทัศนคติหรือการปฏิบัติก็จะมีการปรับเปลี่ยนตามความคิดที่ได้ข้อสรุปแล้ว เมื่อนำมาใช้ในการสนับสนุนเรื่องการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ จึงพบว่าสามารถส่งเสริมให้มารดามีพฤติกรรมการเข้าเต้าได้ดีขึ้น
เอกสารอ้างอิง
Sreekumar K, D’Lima A, Silveira MP, Gaonkar R. Cognitive Breastfeeding Counseling: A Single Session Helps Improve LATCH Score. J Perinat Educ 2018;27:148-51.
เรื่องนำทาง
แหล่งความรู้ เกี่ยวกับสูติ-นรีเวช (Obstetrics-Gynecology)