รศ.นพ.ภาวิน
พัวพรพงษ์
การใช้ยาคุมกำเนิดชนิดที่มีฮอร์โมนในระยะแรกหลังคลอดมักสร้างความวิตกกังวลให้กับมารดาและบุคลากรทางการแพทย์ถึงผลที่มีต่อปริมาณน้ำนม ซึ่งการใช้ยาคุมกำเนิดที่มีส่วนประกอบของฮอร์โมนเอสโตรเจนตั้งแต่ภายใน 24 ชั่วโมงแรกหลังคลอดอาจส่งผลต่อการเริ่มมาของน้ำนมและปริมาณน้ำนมได้ อย่างไรก็ตาม เป็นโชคดีที่ผลการศึกษาเมื่อมีการใช้ยาคุมกำเนิดชนิดที่มีฮอร์โมนโดยทั่วไปในคลินิกหากใช้ยาในช่วง 4 สัปดาห์แรกหลังคลอด ไม่พบว่ามีผลเสียต่อการเจริญเติบโตของทารก พัฒนาการการเข้าสู่วัยรุ่น และไม่พบปัญหาทางด้านพฤติกรรมเพิ่มขึ้น1 ดังนั้น ข้อแนะนำที่หลีกเลี่ยงการใช้ยาคุมกำเนิดชนิดที่มีส่วนประกอบของฮอร์โมนเอสโตนเจนในระยะแรกหลังคลอดยังคงปฏิบัติอยู่ แต่หากมีความจำเป็นต้องยาในระยะแรกหลังคลอด จากข้อมูลที่มีในปัจจุบันยังไม่พบผลเสียต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของทารก
เอกสารอ้างอิง
1. Ispas-Jouron S, Seuc A, Northstone K, Festin M.
Effects of maternal use of hormonal contraception during breastfeeding: Results
from a British birth cohort. Eur J Obstet Gynecol Reprod Biol 2020;250:143-9.
รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์
หลังมารดาคลอด หากน้ำนมมารดามาช้ากว่า 72 ชั่วโมงหรือ 3 วันหลังคลอดจะได้รับการวินิจฉัยว่า มีภาวะน้ำนมมาช้า ซึ่งภาวะน้ำนมมาช้าจะสัมพันธ์กับการหยุดการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ตั้งแต่ในระยะแรกเพิ่มขึ้นร้อยละ 15 และสัมพันธ์กับการหยุดการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวในเดือนที่สามและเดือนที่หกหลังคลอดเพิ่มขึ้นร้อยละ 24 และร้อยละ 14 ตามลำดับ1 ดังนั้น การลดหรือช่วยแก้ไขปัญหาการมีน้ำนมมาช้าจะเป็นกระบวนการเชิงรุกในการช่วยลดปัญหาการหยุดการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในระยะแรกหลังคลอดและการหยุดการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในหกเดือนหลังคลอด ซึ่งการให้ความรู้ความเข้าใจในเรื่องการสร้างน้ำนมแก่มารดาและการช่วยกระตุ้นให้มารดาเริ่มการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ตั้งแต่ภายในหนึ่งชั่วโมงแรกหลังคลอด การให้มารดาได้โอบกอดทารกเนื้อแนบเนื้อ และการให้ทารกกระตุ้นดูดนมแม่บ่อย ๆ วันละ 8-12 ครั้งในมารดาที่มีความเสี่ยงที่จะมีน้ำนมมาช้าจะช่วยลดปัญหานี้ได้
เอกสารอ้างอิง
1. Huang L, Xu S, Chen X, et al. Delayed Lactogenesis Is
Associated with Suboptimal Breastfeeding Practices: A Prospective Cohort Study.
J Nutr 2020;150:894-900.
รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์
จำนวนของมารดาที่มีการใช้ยาระหว่างการตั้งครรภ์และให้นมบุตรมีจำนวนมาก1 ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาทั้งในด้านการรักษาโรคเนื่องจากการหยุดการใช้ยาหรือหยุดให้นมลูกจากการกลัวอันตรายจากการใช้ยาจะเกิดขึ้นกับลูก ในทางตรงกันข้ามมารดาอาจมีการใช้โดยไม่ทราบว่าอาจเกิดอันตรายต่อทารกในครรภ์หรือทารกที่กินนมแม่ได้ การให้ข้อมูลที่ถูกต้องทันสมัยจะช่วยให้มารดาสามารถใช้ยาได้อย่างเหมาะสม ในประเทศไทย การเข้าถึงข้อมูลยังมีความจำกัด เนื่องจากมีข้อจำกัดของความรู้ของมารดา ข้อจำกัดในเรื่องความเข้าใจเนื้อหา ศัพท์เทคนิค ภาษาอังกฤษ และการเข้าถึงข้อมูลในสื่อออนไลน์ การสื่อสารให้มารดาตระหนักถึงความสำคัญของปัญหานี้ให้มารดาและบุคลากรทางการแพทย์มีการตื่นตัว แจ้งหรือซักถามสตรีในวัยเจริญพันธุ์ทุกครั้งเมื่อมีการใช้หรือสั่งจ่ายยาให้กับมารดาจะช่วยในการลดปัญหาเหล่านี้ได้ อย่างไรก็ตาม การพัฒนาให้มารดามีศักยภาพในการเข้าถึงข้อมูลด้วยตนเองได้ ร่วมกับการพัฒนาสื่อให้สามารถมีความง่ายในการใช้งานและเข้าใจ จะส่งเสริมให้เกิดการเข้าถึงข้อมูลและปฏิบัติตัวได้อย่างเหมาะสมมากขึ้น
เอกสารอ้างอิง
1. Heitmann K, Schjott J. SafeMotherMedicine: Aiming to
Increase Women’s Empowerment in Use of Medications During Pregnancy and
Breastfeeding. Matern Child Health J 2020.
รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์
การเริ่มต้นการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เร็วภายในหนึ่งชั่วโมงแรกหลังคลอดจะมีความสัมพันธ์กับความสำเร็จในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ และเป็นหนึ่งในกระบวนการข้อหนึ่งในการสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ของบันไดสิบขั้นสู่ความสำเร็จในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ซึ่งทั้งองค์การอนามัยโลกและองค์กรยูนิเซฟให้ความสำคัญโดยถือเป็นตัวชี้วัดหนึ่งที่จะนำไปสู่การเพิ่มของอัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ซึ่งการเริ่มต้นการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เร็วภายในหนึ่งชั่วโมงแรกหลังคลอดจะมีความสัมพันธ์กับข้อมูลพื้นฐานของมารดา ได้แก่ มารดาที่มีการศึกษาสูง เศรษฐานะดี สถานภาพสมรส และเป็นมารดาที่เคยมีบุตรมาก่อน1 ดังนั้น หากมารดามีข้อมูลพื้นฐานที่มีลักษณะตรงกันข้ามกับข้อมูลเหล่านี้ บุคลากรทางการแพทย์อาจจะถือว่าควรต้องมีการเอาใจใส่ ติดตาม และดูแลอย่างใกล้ชิดเพื่อช่วยให้มารดาได้เริ่มการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เร็วและทำให้มีความสำเร็จในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่สูงขึ้น
เอกสารอ้างอิง
1. Habtewold TD, Mohammed SH, Endalamaw A, et al. Higher
educational and economic status are key factors for the timely initiation of
breastfeeding in Ethiopia: a review and meta-analysis. Acta Paediatr 2020.
รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์
มารดาครรภ์แรกถือว่าเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงในการจะหยุดการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ก่อนเวลาอันควร เนื่องจากมารดาขาดประสบการณ์ในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ และมีโอกาสที่จะขาดความเชื่อมั่นในการที่จะเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ มีการศึกษาโดยการจัดมารดาอาสาที่เป็นพี่เลี้ยงและให้การสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่แก่มารดาครรภ์แรกผ่านเว็บไซด์พบว่า การจัดมารดาอาสาช่วยการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในลักษณะนี้สามารถเพิ่มอัตราการเลี้ยงลูกในมารดาครรภ์แรกได้ถึง 3 เท่า1 ดังนั้น การเอาใจใส่และจัดรูปแบบการสนับสนุนในมารดาครรภ์แรกที่เป็นกลุ่มเสี่ยงเป็นรูปแบบหนึ่งที่จะช่วยเพิ่มอัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้
เอกสารอ้างอิง
1. Gonzalez-Darias A, Diaz-Gomez NM, Rodriguez-Martin S,
Hernandez-Perez C, Aguirre-Jaime A. ‘Supporting a first-time mother’:
Assessment of success of a breastfeeding promotion programme. Midwifery 2020;85:102687.
เรื่องนำทาง
แหล่งความรู้ เกี่ยวกับสูติ-นรีเวช (Obstetrics-Gynecology)