รูปการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ จาก Eglash A, et al.1
เขียนโดย รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์
เกณฑ์ Systematic Assessment of the Infant at Breast (SAIB)2 มีรายละเอียด ดังนี้
? |
รายละเอียด |
แนวการวางตัวของทารก (alignment) | ทารกอยู่ในท่างอตัว ผ่อนคลาย ไม่มีการเกร็งแข็งของกล้ามเนื้อ |
ศีรษะทารกและลำตัวอยู่ระดับเต้านม | |
ศีรษะทารกอยู่แนวเดียวกับลำตัว ไม่หันไปทางด้านข้าง ก้มหรือเงยจนเกินไป | |
แนวการวางตัวของทารกที่ถูกต้องจะอยู่ในแนวของเส้นสมมุติจากหู ไปไหล่และขอบกระดูกอุ้งเชิงกราน (iliac crest) | |
เต้านมของแม่จะต้องได้รับการประคองด้วยมือที่วางเป็นลักษณะรูปถ้วยในสองสัปดาห์แรกของการให้นมลูก | |
การอมคาบหัวนมและลานนม | เห็นปากอ้ากว้าง ริมฝีปากต้องไม่ห่อ |
มองเห็นริมฝีปากปลิ้นออก | |
ทารกประกบริมฝีปากพอดีกับเต้านมทำให้มีแรงดูดสุญญากาศมาก | |
ลานนมที่อยู่ต่ำจากหัวนมประมาณครึ่งนิ้วอยู่ตรงกลางปากทารก | |
ลิ้นจะวางอยู่บริเวณขอบด้านล่างของต่อมเต้านม (alveolar ridge) | |
ลิ้นจะเป็นรูปโค้งงอโอบรอบลานนมทางด้านล่าง | |
ไม่มีเสียงลมระหว่างการดูดนมของทารก | |
ไม่มีรอยบุ๋มบริเวณแก้มระหว่างการดูดนมของทารก | |
การกดบริเวณลานนม | กรามของทารกจะเคลื่อนไหวอย่างเป็นจังหวะ |
ถ้าจำเป็นต้องตรวจสอบ ทำได้โดยให้ทารกดูดนิ้วมือจะพบการเคลื่อนเป็นลูกคลื่นของลิ้นจากทางด้านหน้าไปทางด้านหลัง | |
การได้ยินเสียงทารกกลืนน้ำนม | เสียงของการกลืนจะเงียบ |
หลังการดูดหลายครั้งอาจได้ยินเสียง | |
เสียงอาจจะเพิ่มความถี่หรือความสม่ำเสมอขึ้นหลังการเกิดกลไกน้ำนมพุ่ง |
เกณฑ์นี้ใช้ตัวแปรในการประเมิน 4 ตัวแปรคือ แนวการวางตัวของทารก การเข้าเต้าหรือการอมหัวนมและลานนม การกดบริเวณลานนม และการได้ยินเสียงกลืนน้ำนม ลักษณะของเกณฑ์พิจารณาอย่างเป็นระบบจากกลไกทางวิทยาศาสตร์ของการดูดนมของทารก ไม่มีการให้เป็นน้ำหนักคะแนน โดยมีความเชื่อว่าหากมีลักษณะตามกลไกเหล่านี้จะสัมพันธ์กับการดูดนมแม่ได้ดี จึงใช้ประโยชน์เป็นแนวทางในการสอนมารดาที่ไม่รู้วิธีในการเริ่มให้นมแม่3
หนังสืออ้างอิง
1.???????? Eglash A, Montgomery A, Wood J. Breastfeeding. Disease-a-Month 2008;54:343-411.
2.???????? Shrago L, Bocar D. The infant’s contribution to breastfeeding. J Obstet Gynecol Neonatal Nurs 1990;19:209-15.
3.???????? Hill PD, Johnson TS. Assessment of Breastfeeding and Infant Growth. Journal of Midwifery & Women’s Health 2007;52:571-8.