คลังเก็บหมวดหมู่: คำถามที่พบบ่อย

คำถามที่พบบ่อย

ความรู้กายวิภาคพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับการให้นมแม่

รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์

โครงสร้างที่สำคัญของเต้านม ได้แก่ หัวนม ลานนม เนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง ต่อมน้ำนม (ที่อยู่ที่ปลายท่อน้ำนมที่จะรวมกันเป็นพวง) ที่ประกอบด้วยเซลล์เยื่อบุกล้ามเนื้อ (myoepithelial cell) ท่อน้ำนม ท่อน้ำเหลือง เอ็นคูเปอร์ (Cooper’s ligament) และไขมัน โดยไขมันจะเป็นตัวกำหนดขนาดและรูปร่างของเต้านม ขณะเดียวกันก็ใช้สำหรับการสร้างไขมันในน้ำนม จากการศึกษาที่ผ่านมาพบว่า ทารกที่กินนมจากมารดาที่มีขนาดเต้านมเล็กมีแนวโน้มที่จะกินนมบ่อยกว่าทารกที่กินนมจากมารดาที่มีขนาดเต้านมใหญ่ นอกจากนี้ ประสาทรับรู้สัมผัสที่เริ่มต้นมาจากเส้นประสาทระหว่างซี่โครงที่ 3, 4, 5 และ 6 ก็มีส่วนสำคัญในการสร้างน้ำนมในช่วงของการตั้งครรภ์เช่นกัน โดยจะพบว่ามารดาจะสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของเต้านม ได้แก่ การเจ็บ การคัดตึง และการขยายตัวของหลอดเลือดบริเวณเต้านมที่เห็นเด่นชัดขึ้นในช่วงแรกของการตั้งครรภ์ และในขณะที่อายุขึ้นเพิ่มขึ้นมารดาจะเห็นว่าลานนมจะมีการขยายขนาดและมีสีคล้ำขึ้น ต่อมมอนต์โกเมอรี (Montgomery’s gland) ซึ่งเป็นตุ่มเล็ก ๆ ภายในบริเวณลานนมจะเห็นชัดมากขึ้น ซึ่งจะทำหน้าที่หลั่งสารหล่อลื่นที่ช่วยเคลือบและปกป้องหัวนมและลานนม โดยหัวนมตั้งอยู่ตรงกลางของลานนมและมีรูเปิดท่อน้ำนมประมาณ 5-9 ช่อง

กลีบย่อย (lobules) ในเต้านมของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมประกอบด้วยต่อมน้ำนม ซึ่งเป็นอยู่กลุ่มคล้ายองุ่นโดยทำหน้าที่ผลิตน้ำนมเพื่อตอบสนองต่อฮอร์โมนโปรแลกติน (prolactin) ต่อมน้ำนมจะถูกล้อมรอบด้วยเซลล์เยื่อบุกล้ามเนื้อ (myoepithelial cell) ซึ่งมีโครงสร้างที่เป็นเส้นที่ขึงอยู่รอบ ๆ ต่อมน้ำนม ซึ่งเซลล์นี้จะตอบสนองต่อฮอร์โมนออกซิโตซินโดยการหดตัวและบีบน้ำนมออกจากต่อมน้ำนม ผ่านท่อน้ำนมไปยังหัวนม1

เอกสารอ้างอิง

1.        Naylor AJ, Wester RA. Lactation management self-study modules, level 1, fourth edition. In: International W, ed.2014.

การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่จำเป็นต้องมีการเรียนรู้และฝึกฝน

รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์

แม้ว่าปกติแล้วร่างกายของมารดาจะผลิตน้ำนมได้ตามธรรมชาติของการดำรงเผ่าพันธุ์ แต่เทคนิคการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เป็นทักษะที่ได้จากการเรียนรู้ ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนและมีการฝึกฝน บิดามารดาส่วนมากต้องการการช่วยเหลือโดยการสนับสนุนข้อมูลในเรื่องการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ตั้งแต่ในระยะฝากครรภ์ และต้องการที่จะทราบโอกาสที่มารดาจะสามารถเข้าเต้าพร้อมกับมีความสามารถในประเมินการกินนมแม่อย่างมีประสิทธิภาพของทารกได้ในระยะหลังคลอด การช่วยให้บิดามารดามีความรู้และทักษะเหล่านี้จะทำให้ครอบครัวมีความเชื่อมั่นที่จะให้นมลูกด้วยความสบายใจและมีความพร้อมที่จะสัมผัสกับความรู้สึกของการเป็นพ่อแม่ที่เป็นประสบการณ์ส่วนตัวที่ทั้งบิดามารดาจะได้รับ

กุญแจสำคัญในการช่วยเหลือครอบครัวใหม่ที่เริ่มต้นการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่คือ ความเข้าใจเกี่ยวกับกายวิภาคพื้นฐานของเต้านม สรีรวิทยาของกระบวนการสร้างและระบายน้ำนม โดยที่การให้ความรู้นี้จะมุ่งเน้นไปที่ศาสตร์ของการให้นมบุตรและทักษะทางคลินิกในทางปฏิบัติที่จะทำให้มารดาสามารถจะเริ่มต้นการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้ พร้อมกับมีการประสานของความรู้ทั้งทางด้านสูติศาสตร์และกุมารเวชศาสตร์เข้าด้วยกัน เพื่อจัดการให้การดูแลมารดาในระยะหลังคลอดและทารกแรกเกิด ซึ่งผลของการดูแลนั้นจะกระทบต่อการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในระยะแรกและผลลัพธ์ที่ตามมาของความสำเร็จหรือการหยุดการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ สำหรับข้อที่ควรคำนึงถึงเสมอเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ก็คือ “มารดาและทารกเป็นหน่วยเดียวกันทางชีววิทยา เมื่อเกิดสิ่งหนึ่งสิ่งใดกับมารดาก็ย่อมเกิดผลต่อการให้นมทารกด้วยรวมทั้งผลกระทบในทางกลับกัน”1

เอกสารอ้างอิง

1.        Naylor AJ, Wester RA. Lactation management self-study modules, level 1, fourth edition. In: International W, ed.2014.

การช่วยให้มารดาเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อาจช่วยลดความรุนแรงของภาวะซึมเศร้าได้

รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์

เป็นที่ทราบกันดีว่า การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ช่วยลดการเกิดภาวะซึมเศร้าหลังคลอด และในมารดาที่มีภาวะซึมเศร้าหลังคลอดที่จะมีความเสี่ยงที่จะหยุดการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ก่อนเวลาอันควร โดยในมารดาที่มีภาวะซึมเศร้าหลังคลอดที่ต้องการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่มักพบว่ามีปัญหาการเข้าเต้ายากได้บ่อย ซึ่งจะส่งกระทบต่อสุขภาพทางด้านจิตใจของมารดามากขึ้น การที่บุคลากรทางการแพทย์เข้าไปช่วยให้คำปรึกษาและแก้ไขปัญหา ทำให้มารดาสามารถเข้าเต้าและให้นมลูกได้ พบว่าช่วยส่งผลดีต่อภาวะซึมเศร้าของมารดา1 ซึ่งข้อมูลนี้ช่วยย้ำความสัมพันธ์ที่แปรผกผันระหว่างการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่กับภาวะซึมเศร้าหลังคลอดของมารดามากขึ้น

เอกสารอ้างอิง

1.        Da Silva Tanganhito D, Bick D, Chang YS. Breastfeeding experiences and perspectives among women with postnatal depression: A qualitative evidence synthesis. Women Birth 2020;33:231-9.

การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ลดการสบฟันที่ผิดปกติในทารกคลอดก่อนกำหนด

รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์

ทารกที่คลอดก่อนกำหนดนอกจากจะมีความเสี่ยงในการเกิดการหายใจเร็วจากการพัฒนาที่ไม่สมบูรณ์ของปอด การเกิดเลือดออกในสมอง และภาวะอักเสบของลำไส้แล้ว ยังพบว่ามีความสัมพันธ์การสบฟันที่มีความผิดปกติระดับปานนกลางถึงรุนแรงเพิ่มขึ้น โดยพบว่า การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่จะช่วยป้องกันและลดการเกิดการสบฟันที่ผิดปกติได้1 ขณะที่การใช้หัวนมหลอก (pacifiers) จะเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดการสบฟันที่ผิดปกติ ดังนั้น บุคลากรทางการแพทย์ควรสนับสนุนให้ทารกที่คลอดก่อนกำหนดกินนมแม่ เพื่อช่วยในเรื่องภูมิคุ้มกันที่ดีให้แก่ทารก ลดการเกิดภาวะแทรกซ้อน และลดจำนวนวันที่ต้องนอนโรงพยาบาลแล้ว ยังช่วยป้องกันการสบฟันที่ผิดปกติด้วย

เอกสารอ้างอิง

1.        da Rosa DP, Bonow MLM, Goettems ML, et al. The influence of breastfeeding and pacifier use on the association between preterm birth and primary-dentition malocclusion: A population-based birth cohort study. Am J Orthod Dentofacial Orthop 2020;157:754-63.

แนวทางการดูแลมารดาและทารกมีความสัมพันธ์กับอัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่

รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์

ขั้นตอนการให้การดูแลมารดาและทารกมีส่วนสำคัญต่อการสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เริ่มตั้งแต่กระบวนการการให้ความรู้แก่มารดาตั้งแต่ในระยะฝากครรภ์ถึงความสำคัญและประโยชน์ของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ในระหว่างการคลอด การให้มารดามีการโอบกอดทารกเนื้อแนบเนื้อและเริ่มต้นการให้ลูกกินนมแม่ภายในหนึ่งชั่วโมงแรกหลังคลอด และในระยะหลังคลอด การให้มารดาอยู่ร่วมกับทารกตลอด 24 ชั่วโมง การมีการสอนการจัดท่าให้นมลูกที่เหมาะสม การสอนการบีบเก็บน้ำนมด้วยมือและการเก็บรักษาน้ำนม โดยแนวทางเหล่านี้ จะสัมพันธ์กับการช่วยสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่1 ซึ่งแนวทางการปฏิบัติเหล่านี้จะมีอยู่ในโรงพยาบาลที่เป็นโรงพยาบาลสายสัมพันธ์แม่ลูก ดังนั้น หากมารดามีความตั้งใจในการที่จะเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ควรมีการวางแผนที่จะฝากครรภ์และคลอดในโรงพยาบาลสายสัมพันธ์แม่ลูก เพื่อเพิ่มโอกาสที่จะประสบความสำเร็จในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่

เอกสารอ้างอิง

1.        Crenshaw JT, Budin WD. Hospital Care Practices Associated With Exclusive Breastfeeding 3 and 6 Months After Discharge: A Multisite Study. J Perinat Educ 2020;29:143-51.