คลังเก็บหมวดหมู่: ความรู้สำหรับนักศึกษา

ความรู้สำหรับนักศึกษา

การใช้นมบริจาคช่วยเพิ่มอัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว

 รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์

อาหารที่เหมาะสมสำหรับทารกในหกเดือนแรก คือ นมแม่ ซึ่งการให้นมแม่เพียงอย่างเดียวเพียงพอสำหรับการเจริญเติบโต พัฒนาการ และการช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ทารก อัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวหกเดือนในประเทศไทยที่มีรายงานในปี 2559 อยู่ที่ร้อยละ 23.1 ซึ่งยังเป็นอัตราที่ต่ำ การสนับสนุนให้มารดาเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวหกเดือนแรก พื้นฐานการศึกษา ความรู้ความเข้าใจถึงประโยชน์และความสำคัญของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เป็นสิ่งสำคัญ นอกจากนั้น การส่งเสริมให้ทารกที่ป่วยได้รับนมแม่ยังช่วยในการฟื้นตัวและลดการนอนโรงพยาบาลของทารก การใช้นมบริจาคจากธนาคารนมแม่สามารถช่วยเพิ่มอัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวได้1{Merjaneh, 2020 #172810} อย่างไรก็ตาม หากมารดาสามารถบีบเก็บน้ำนมให้ลูกของตนเองได้จะดีที่สุด “เพราะน้ำนมมารดาคนใดที่ให้กำเนิดลูกก็จะมีความจำเพาะและเหมาะสมที่สุดสำหรับลูกของมารดาคนนั้น”

เอกสารอ้างอิง

1.        Merjaneh N, Williams P, Inman S, et al. The impact on the exclusive breastfeeding rate at 6 months of life of introducing supplementary donor milk into the level 1 newborn nursery. J Perinatol 2020.

การให้ลูกกินนมแม่ช่วยป้องกันกลุ่มโรคเมตาบอลิกในมารดา

รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์

มารดาที่ให้ลูกกินนมแม่จะมีผลดีหลายอย่าง ซึ่งจะช่วยป้องกันโรคที่เป็นสาเหตุการตายที่พบบ่อยในปัจจุบัน ได้แก่ มะเร็งเต้านม มะเร็งรังไข่ รวมทั้งกลุ่มโรคเมตาบอลิก โดยมีการศึกษาในประเทศเกาหลีในมารดา 1983 รายที่อยู่ในวัยทองพบว่า หากมารดามีประวัติที่ให้ลูกกินนมแม่อย่างน้อย 3 เดือนจะป้องกันการเกิดกลุ่มโรคเมตาบอลิกได้ถึงครึ่งหนึ่ง1 ดังนั้น หากพิจารณาประโยชน์ของนมแม่ในด้านเหล่านี้ จะเห็นว่า การที่มารดาให้ลูกได้กินนมแม่น่าจะทำให้มารดามีอายุที่ยืนและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นจากการลดการเกิดโรคข้างต้น ซึ่งการลงทุนทางด้านสุขภาพแก่มารดาโดยการให้ลูกกินนมแม่นับเป็นอีกหนึ่งการลงทุนที่มีความคุ้มค่าทางด้านเศรษฐศาสตร์สาธารณสุข

เอกสารอ้างอิง

1.            Ra JS, Kim SO. Beneficial effects of breastfeeding on the prevention of metabolic syndrome among postmenopausal women. Asian Nurs Res (Korean Soc Nurs Sci) 2020.

การใช้กราฟการคลอดดูแลมารดาระหว่างการคลอด

 รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์

            การดูแลการเปลี่ยนแปลงของมารดาในระยะการคลอดว่าปกติดีหรือไม่ มักจะเทียบการเปลี่ยนแปลงของมารดากับกราฟการคลอด โดยกราฟการคลอดที่นิยมใช้ ได้แก่ กราฟการคลอดขององค์การอนามัยโลก (WHO partograph) ซึ่งจะให้เวลาในการดูแลระยะที่ปากมดลูกเปิดช้า (latent phase) 8 ชั่วโมง และให้เวลาการดูแลระยะรอคลอดที่ปากมดลูกเปิดเร็ว (active phase) 7 ชั่วโมง โดยในช่วงที่ปากมดลูกเปิดเร็วนั้น การเปลี่ยนแปลงของการขยายของปากมดลูกไม่ควรน้อยกว่า 1 เซนติเมตรต่อชั่วโมง ในกราฟการคลอดจะเส้นที่เตือนสำหรับบุคลากรผู้ดูแลการคลอด 2 เส้น คือ เส้นเตือนให้ระมัดระวัง (alert line) และเส้นเตือนให้ตัดสินใจดำเนินการ (action line)

            หากระหว่างการดูแลการคลอด เมื่อลากเส้นเชื่อมเส้นกราฟการคลอดของมารดา เส้นกราฟไปตัดกับเส้นเตือนให้ระมัดระวัง (alert line) บุคลากรทางการแพทย์จำเป็นพิจารณาว่า การคลอดของมารดารายนั้นจะเป็นการคลอดยากหรือไม่ หากมีโอกาสที่จะผ่าตัดคลอดสูง และสถานพยาบาลที่ทำการดูแลขาดความพร้อมในการทำการผ่าตัดคลอด ควรเลือกที่จะส่งต่อมารดาไปโรงพยาบาลที่มีความพร้อมที่ดูแลการผ่าตัดคลอดได้ ดังนั้น “เส้นเตือนให้ระมัดระวัง (alert line) จึงเหมือนเส้นเตือนตัวเองว่า สถานพยาบาลมีความพร้อมหรือไม่ที่จะดูแลมารดาระยะคลอดที่มีความเสี่ยงสูงนั่นเอง”

            สำหรับในสถานพยาบาลที่มีความพร้อมที่จะดูแลมารดาระยะคลอดที่มีความเสี่ยงสูง หากเส้นกราฟการคลอดของมารดาไปตัดเส้นเตือนให้ระมัดระวัง (alert line) ในกรณีนี้ไม่ได้มีความหมายว่าให้ส่งต่อ แต่มีความหมายเตือนว่า การคลอดของมารดารายนั้นจะมีความเสี่ยง จำเป็นต้องเอาใจใส่ดูแลอย่างใกล้ชิด และควรแก้ไขปัจจัยต่าง ๆ ที่อาจทำให้เกิดการคลอดที่ช้า ซึ่งหากเส้นกราฟการคลอดของมารดายังคงมีการเปลี่ยนแปลงช้าจนเส้นกราฟของมารดาไปตัดเส้นเตือนให้ตัดสินใจดำเนินการ (action line) แล้ว บุคลากรทางการแพทย์ต้องระลึกไว้เสมอว่า การผ่าตัดคลอดอาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับมารดา เนื่องจาก เมื่อการคลอดของมารดาช้าจนเส้นกราฟการคลอดของมารดาไปตัดเส้นเตือนให้ระมัดระวัง (alert line)  บุคลากรทางการแพทย์ได้พิจารณาปัจจัยที่เป็นสาเหตุของการคลอดที่ช้า แล้วได้ดำเนินการแก้ไขปัจจัยที่เป็นสาเหตุ แต่ผลลัพธ์ของการแก้ไขไม่ดีขึ้น ดังนั้น “เส้นเตือนให้ตัดสินใจดำเนินการ (action line) จึงเสมือนเส้นเตือนให้ตัดสินใจดำเนินการผ่าตัดคลอด ซึ่งการพิจารณาการผ่าตัดอาจเป็นทางเลือกของการคลอดที่เหมาะสมในมารดารายนั้น เพื่อเป็นการปกป้องและป้องกันอันตรายต่อมารดาและทารกจากการคลอดที่เนิ่นนานนั่นเอง

การให้ยาระงับความรู้สึกระหว่างการเบ่งคลอด

 รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์

ขณะเบ่งคลอด มารดาจะมีลมเบ่งเหมือนปวดเบ่งถ่ายเมื่อศีรษะทารกลงมากดบริเวณทวารหนัก การให้ยาระงับความรู้สึกจะเป็นการให้ยาชาเฉพาะที่ในกรณีที่จะมีการตัดฝีเย็บช่วยในการคลอด ซึ่งไม่ได้เป็นการช่วยลดอาการเจ็บครรภ์คลอด การให้ยาระงับความรู้สึกเพื่อลดการเจ็บครรภ์ระหว่างการเบ่งคลอดนั้น อาจทำได้โดยการฉีดยาชาเข้าช่องเหนือเยื่อหุ้มไขสันหลัง (epidural block) โดยจะมีทั้งผลดีและผลเสียจากการใช้ยาระงับความรู้สึกวิธีนี้ ข้อดีคือ อาการปวดจากการเจ็บครรภ์คลอดลดลง ข้อเสียคือ ระยะเวลาระหว่างการเบ่งคลอดจนถึงคลอดทารกเพิ่มขึ้น และการใช้เครื่องดูดสุญญากาศและคีมในการช่วยคลอดเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม สถานพยาบาลโดยทั่วไปมักขาดแคลนบุคลากรทางด้านวิสัญญีที่จะให้การดูแลมารดาหลังให้ยาระงับความรู้สึก จึงเป็นข้อจำกัดในการระงับความรู้สึกวิธีนี้ ดังนั้น การให้ยาระงับความรู้สึกระหว่างการเบ่งคลอดจึงมักใช้เพียงการฉีดยาชาเฉพาะที่ในบริเวณที่มีบาดแผลจากการตัดฝีเย็บหรือระหว่างการเย็บบริเวณแผลที่เกิดขึ้นจากการบาดเจ็บจากการคลอดเท่านั้น

การให้ยาแก้ปวดระหว่างการรอคลอด

 รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์

ขณะรอคลอด มารดาจะมีอาการเจ็บครรภ์คลอด ซึ่งในระยะแรกจะมีอาการเจ็บครรภ์ห่าง ต่อมาอาการเจ็บครรภ์จะถี่ขึ้น อาการปวดจะร้าวไปหลัง และเมื่อลูกเคลื่อนต่ำลงมาใกล้ปากช่องคลอดมาก มารดาจะมีอาการปวดเบ่งเหมือนปวดเบ่งถ่ายเมื่อศีรษะทารกลงมากดบริเวณทวารหนัก การลดความเจ็บปวดระหว่างการรอคลอดที่มารดามีอาการเจ็บครรภ์ วิธีที่ใช้บ่อยคือ การใช้ยาแก้ปวดในกลุ่มมอร์ฟีน โดยยาแก้ปวดในกลุ่มนี้จะลดอาการปวดได้ดี แต่ก็มีข้อเสียคือ ในมารดาอาจทำให้มีอาการคลื่นไส้อาเจียน ง่วง ขาดแรงเบ่งคลอด ขาดสติในการให้นมลูกในระยะแรกหลังคลอด ในทารกอาจทำให้ทารกหายใจช้า ง่วงซึม ไม่สามารถกระตุ้นดูดนมหลังคลอดได้ ดังนั้น จึงควรหลีกเลี่ยงการให้ยากลุ่มนี้ในมารดาที่คาดว่าจะมีการคลอดภายในหนึ่งชั่วโมงหลังการให้ยา มารดามีอาการเจ็บครรภ์คลอด ในปัจจุบันมีค่านิยมในการคลอดตามธรรมชาติเพิ่มขึ้น จึงมักมีการลดการใช้ยาแก้ปวด และนิยมใช้วิธีทางเลือกในการลดความเจ็บปวดระหว่างการรอคลอดแทน ได้แก่ การลูบหน้าท้อง การนวดบริเวณหลัง การปรับจังหวะของการหายใจ การให้สามีหรือพี่เลี้ยงเข้ามาช่วยดูแลระหว่างการรอคลอด  ซึ่งจะมีผลดีต่อการเริ่มต้นการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในระยะแรกหลังคลอดด้วย