คลังเก็บหมวดหมู่: การตั้งครรภ์และการคลอด ความเสี่ยงสูงที่ต้องใส่ใจ

การตั้งครรภ์และการคลอด ความเสี่ยงสูงที่ต้องใส่ใจ

โรคความดันโลหิตสูงเรื้อรังที่พบในระหว่างการตั้งครรภ์

รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์

           โรคความดันโลหิตสูงเรื้อรัง สาเหตุ ส่วนใหญ่ร้อยละ 86-89 ไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด (essential hypertension) ที่เหลือเกิดตามโรคเรื้อรัง (secondary) อื่น ๆ1  ได้แก่ โรคไต โรคจากความผิดปกติของฮอร์โมน และโรคที่ทำให้มีความผิดปกติของหลอดเลือด ปัจจัยเสี่ยง ได้แก่ โรคอ้วน กลุ่มอาการเมตาบอลิกอื่น และพฤติกรรมการกินที่ไม่เหมาะสม

         การวินิจฉัยจากการตรวจพบความดันโลหิต systolic เท่ากับหรือมากกว่า 140 มิลลิเมตรปรอท และ/หรือความดันโลหิต diastolic เท่ากับหรือมากกว่า 90 มิลลิเมตรปรอทจากการวัดความดันโลหิตอย่างน้อยสองครั้ง ห่างกันอย่างน้อย 4 ชั่วโมง ซึ่งตรวจพบก่อนการตั้งครรภ์ หรือในกรณีที่ตรวจพบครั้งแรกในระหว่างการตั้งครรภ์ จะให้การวินิจฉัยหลังติดตามมารดาแล้วพบมีความดันโลหิตสูงหลังคลอดตั้งแต่ 12 สัปดาห์ขึ้นไป1

         อย่างไรก็ตาม เมื่อเร็ว ๆ นี้สมาคมโรคหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกา (American Heart Association หรือ AHA) และวิทยาลัยโรคหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกา (American College of Cardiology หรือ ACC) ได้ปรับเปลี่ยนการให้การวินิจฉัยโรคความดันโลหิตสูง โดยรวมเอาบุคคลที่มีความดันโลหิต systolic 130-139 มิลลิเมตรปรอท และ/หรือความดันโลหิต diastolic 80-89 มิลลิเมตรปรอท และแนะนำให้มีการดูแลรักษาความดันโลหิตสูงในกลุ่มนี้ด้วย แต่สำหรับในมารดาที่ตั้งครรภ์ยังขาดข้อมูลที่แสดงถึงผลประโยชน์ต่อมารดาและทารกที่ชัดเจนของการให้การดูแลรักษามารดาในกลุ่มนี้1,2  

          แนวทางการดูแลรักษาคือ ควบคุมความดันโลหิตไม่ให้สูงเกินไปจนเกิดภาวะแทรกซ้อน ซึ่งการควบคุมความดันโลหิตจะใช้ยาเป็นหลักในการรักษา โดยยาที่แนะนำให้ใช้เป็นทางเลือกแรกในระหว่างการตั้งครรภ์ ได้แก่ labetalol และ nifedipine กรณีที่ยาในทางเลือกแรกใช้ไม่ได้ผล แนะนำให้เลือกใช้ยา methyldopa หรือ hydrochlorothiazide เป็นทางเลือกที่สอง แต่ไม่ควรใช้ยาในกลุ่ม angiotensin-converting enzyme inhibitors เนื่องจากมีความสัมพันธ์กับการเกิดความพิการของทารก การทำงานของไตของทารกผิดปกติหรือเสียหาย และการเกิดภาวะน้ำคร่ำน้อยได้ และ atenolol ที่พบมีความสัมพันธ์กับทารกในครรภ์เจริญเติบโตช้า (fetal growth restriction)2

เอกสารอ้างอิง

  1. ACOG Practice Bulletin No. 203: Chronic Hypertension in Pregnancy. Obstet Gynecol 2019;133:e26-e50.
  2. Battarbee AN, Sinkey RG, Harper LM, Oparil S, Tita ATN. Chronic Hypertension in Pregnancy. Am J Obstet Gynecol 2019.

ผลระยะยาวของโรคความดันโลหิตสูงที่ถูกชักนำจากการตั้งครรภ์ต่อทารก

รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์

                 ทารกที่เกิดจากมารดาที่มีโรคความดันโลหิตสูงที่ถูกชักนำโดยการตั้งครรภ์ จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคความดันโลหิตสูง อธิบายจากการทารกที่ขาดสารอาหารตั้งแต่ในครรภ์ หรือไม่ได้กินนมแม่ จะทำให้เกิดภาวะเครียด (stress) ในทารก ทำให้มีการหลั่งฮอร์โมนกลูโคคอร์ติคอยด์มาก ส่งผลต่อความดันโลหิต และทำลายระบบการทำงานของฮอร์โมนออกซิโตซินและตัวรับฮอร์โมนออกซิโตซินที่ทำงานปรับสมดุลกัน ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคความดันโลหิตสูง1 โรคอ้วน และกลุ่มอาการเมตาบอลิกอื่น ๆ ด้วย นอกจากนี้ ยังพบว่าทารกที่มีมารดามีโรคความดันโลหิตสูงที่ถูกชักนำจากการตั้งครรภ์จะมีพัฒนาการของการเคลื่อนไหว (motor development) ที่อายุ 14 ปีต่ำกว่า มีความสามารถด้านความฉลาดหรือการเรียนรู้ต่ำกว่า และมีความผิดปกติทางจิตสูงกว่า2

เอกสารอ้างอิง

  1. Vargas-Martinez F, Schanler RJ, Abrams SA, et al. Oxytocin, a main breastfeeding hormone, prevents hypertension acquired in utero: A therapeutics preview. Biochim Biophys Acta Gen Subj 2017;1861:3071-84.
  2. Battarbee AN, Sinkey RG, Harper LM, Oparil S, Tita ATN. Chronic Hypertension in Pregnancy. Am J Obstet Gynecol 2019.

ผลระยะยาวของโรคความดันโลหิตสูงที่ถูกชักนำจากการตั้งครรภ์ต่อมารดา

รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์

           มารดาที่มีภาวะครรภ์เป็นพิษและโรคความดันโลหิตสูงจากการตั้งครรภ์ เมื่อมารดาอายุมากขึ้น จะมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคความดันโลหิตสูง และภาวะแทรกซ้อนจากโรคหัวใจและหลอดเลือดมากขึ้น โดยพบความเสี่ยงที่จะเกิดความดันโลหิตสูงเพิ่มขึ้น 5 เท่า และความเสี่ยงจากการมีโรคหัวใจเพิ่มขึ้น 2 เท่า ยังไม่ทราบ สาเหตุของการเพิ่มขึ้นของการเกิดความดันโลหิตสูงและภาวะแทรกซ้อน แต่มีการศึกษาพบว่าหลังจากเวลาผ่านไปหลายปี มารดามีโรคความดันโลหิตสูงที่ถูกชักนำโดยการตั้งครรภ์จะพบมีการหนาตัวของผนังหลอดเลือดทำให้เกิดการตีบแคบของเส้นเลือด  ดังนั้น บุคลากรทางการแพทย์จึงควรแนะนำให้มารดาลดปัจจัยเสี่ยงและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดำเนินชีวิตให้มีความเหมาะสม ได้แก่ การควบคุมน้ำหนักให้มีดัชนีมวลกายอยู่ในเกณฑ์ปกติ งดอาหารที่มีเกลือในปริมาณที่มากหรือเค็มเกินไป เลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสม ออกกำลังกาย งดการสูบบุหรี่  ในมารดาที่อายุน้อยหรือยังมีความต้องการจะมีบุตร จะมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคซ้ำในการตั้งครรภ์ครั้งถัดไปเพิ่มขึ้น การพิจารณาให้แอสไพรินแก่มารดาที่มีปัจจัยเสี่ยงหลายปัจจัย จะเกิดประโยชน์โดยลดการเกิดโรคนี้ได้1

เอกสารอ้างอิง

  1. ACOG Practice Bulletin No. 202: Gestational Hypertension and Preeclampsia. Obstet Gynecol 2019;133:e1-e25.

 

 

ผลของโรคความดันโลหิตสูงจากการตั้งครรภ์ต่อการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่

รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์

          มารดาที่มีโรคความดันโลหิตสูงจากการตั้งครรภ์ จะมีความเสี่ยงที่จะเกิดการคลอดก่อนกำหนดในกรณีที่มีความดันโลหิตสูงมาก และมีความเสี่ยงที่จะเกิดทารกน้ำหนักตัวน้อย โดยภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้ จะทำให้ทารกต้องย้ายไปดูแลที่หอผู้ป่วยทารกวิกฤต1 การเริ่มต้นการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ทำได้ช้า และเสี่ยงต่อการเริ่มนมผงดัดแปลงสำหรับทารก หากไม่มีการให้คำปรึกษาหรือดูแลให้มารดามีความพร้อมในการให้นมทารกเมื่อทารกสามารถกินนมแม่ได้ สำหรับการดูแลในระยะหลังคลอด หากมารดามีความดันโลหิตสูงมาก การดูแลรักษาและการใช้ยาจะเหมือนกับการดูแลรักษามารดาที่มีภาวะครรภ์เป็นพิษที่จำเป็นต้องได้รับยาต่อเนื่อง โดยผลของการใช้ยาในแต่ละตัวต่อการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ รายละเอียดมีอยู่ในหัวข้อภาวะครรภ์เป็นพิษแล้ว

เอกสารอ้างอิง

  1. Cordero L, Valentine CJ, Samuels P, Giannone PJ, Nankervis CA. Breastfeeding in women with severe preeclampsia. Breastfeed Med 2012;7:457-63.

 

โรคความดันโลหิตสูงจากการตั้งครรภ์

รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์

                    โรคความดันโลหิตสูงจากการตั้งครรภ์ (gestational hypertension) สาเหตุของโรคยังไม่ทราบแน่ชัด โดยมีข้อถกเถียงกันว่าโรคความดันโลหิตสูงจากการตั้งครรภ์เป็นคนละโรคที่แตกต่างกันกับภาวะครรภ์เป็นพิษ หรือเป็นโรคเดียวกันที่มีระดับความรุนแรงที่แตกต่างกัน1 ปัจจัยเสี่ยงที่พบว่ามีความสัมพันธ์กับมารดาครรภ์แรก อายุมาก อ้วน มีประวัติเป็นเบาหวาน2

              การวินิจฉัยโรคความดันโลหิตสูงจากการตั้งครรภ์ วินิจฉัยจากการตรวจพบความดันโลหิต systolic เท่ากับหรือมากกว่า 140 มิลลิเมตรปรอท และ/หรือความดันโลหิต diastolic เท่ากับหรือมากกว่า 90 มิลลิเมตรปรอท ซึ่งตรวจไม่พบความผิดปกติของโปรตีนในปัสสาวะ โดยอายุครรภ์ของมารดาตั้งแต่ 20 สัปดาห์ขึ้นไป

               สำหรับแนวทางการรักษามีตั้งแต่การติดตามอาการในกรณีที่ความดันโลหิตไม่สูงมาก และจะให้ยาลดความดันโลหิตเฉพาะเมื่อมีความดันโลหิตสูงมากคือ ความดันโลหิต systolic เท่ากับหรือมากกว่า 160 มิลลิเมตรปรอท หรือความดันโลหิต diastolic เท่ากับหรือมากกว่า 110 มิลลิเมตรปรอท ซึ่งจะเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง3 หรือในกรณีที่เชื่อว่าโรคความดันโลหิตสูงจากการตั้งครรภ์เป็นโรคเดียวกันกับภาวะครรภ์เป็นพิษที่มีความรุนแรงน้อยกว่า การรักษาอาจมีการใช้ยา MgSO4 และ/หรือร่วมกับยาลดความดันโลหิตตัวอื่น ซึ่งมีการศึกษาพบว่าสามารถลดภาวะแทรกซ้อนของการตั้งครรภ์ ได้แก่ การตกเลือดหลังคลอด ภาวะมดลูกหดรัดตัวไม่ดี (uterine inertia)  ภาวะรกลอกตัวก่อนกำหนด (placenta abruption)  การคลอดก่อนกำหนด การผ่าตัดคลอด ทารกมีภาวะเครียดในครรภ์ (fetal distress in uterus)  และภาวะทารกเกิดการขาดออกซิเจน (neonatal asphyxia) ได้4,5

เอกสารอ้างอิง

  1. Phoswa WN. Dopamine in the Pathophysiology of Preeclampsia and Gestational Hypertension: Monoamine Oxidase (MAO) and Catechol-O-methyl Transferase (COMT) as Possible Mechanisms. Oxid Med Cell Longev 2019;2019:3546294.
  2. Laine K, Murzakanova G, Sole KB, Pay AD, Heradstveit S, Raisanen S. Prevalence and risk of pre-eclampsia and gestational hypertension in twin pregnancies: a population-based register study. BMJ Open 2019;9:e029908.
  3. ACOG Practice Bulletin No. 202: Gestational Hypertension and Preeclampsia. Obstet Gynecol 2019;133:e1-e25.
  4. Wen J, Li X. Effect of Magnesium Sulfate Combined with Phentolamine and Nifedipine for Gestational Hypertension and Serum Levels of LIF and Apelin. J Coll Physicians Surg Pak 2019;29:231-4.
  5. Wang Y, Zhang X, Han Y, Yan F, Wu R. Efficacy of combined medication of nifedipine and magnesium sulfate on gestational hypertension and the effect on PAPP-A, VEGF, NO, Hcy and vWF. Saudi J Biol Sci 2019;26:2043-7.