คลังเก็บหมวดหมู่: การดูแลการคลอดโดยใช้ข้อมูลหลักฐานเชิงประจักษ์

การดูแลการคลอดโดยใช้ข้อมูลหลักฐานเชิงประจักษ์

น้ำนมเป็นสีชมพูเกิดจากอะไร

00025-1-1-l-small

??????????????? รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์

? ? ? ? ? ? ?น้ำนมสีชมพูเกิดจากการมีเลือดปนออกมากับน้ำนม มักเป็นในช่วงแรกๆ ที่มีเต้านมคัด การบีบน้ำนมหรือปั๊มนมที่รุนแรงก็อาจทำให้เกิดน้ำนมสีชมพูได้ ในภาษาอังกฤษใช้คำว่า rusty-pipe syndrome แต่ในภาษาไทยอยากจะใช้คำว่า ?เลือดในอกที่ออกมาปนกับน้ำนมมารดา? ไม่มีอันตรายอะไรจากการที่ทารกกินน้ำนมสีชมพูนี้ โดยทั่วไป น้ำนมสีชมพูจะหายไปเองในหนึ่งสัปดาห์ อย่างไรก็ตาม การที่น้ำนมสีชมพูหรือปนเลือดจะทำให้มารดาวิตกกังวลและเป็นสาเหตุที่ทำให้หยุดการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ก่อนที่ควรจะเป็นได้ ดังนั้น บุคลากรทางการแพทย์ควรให้คำแนะนำให้มารดาปฏิบัติตัวอย่างเหมาะสมเพื่อให้มารดาสามารถประสบความสำเร็จในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ดังหวังได้

? ? ? ? ? ?สำหรับสาเหตุอื่นๆ ที่ทำให้น้ำนมมีเลือดปน อาจเกิดจากมารดามีหัวนมแตกหรือเต้านมอักเสบ ซึ่งมารดาจะมีอาการเจ็บหัวนมหรือเต้านมร่วมด้วย นอกจากนี้ยังอาจเกิดจากการกินยาคุมกำเนิดและยาช่วยนอนหลับบางตัว?และในกรณีที่เป็นนานกว่าหนึ่งสัปดาห์ยังไม่หาย อาจเกิดจากเนื้องอกในท่อน้ำนม (intraductal papilloma) หรือมะเร็งได้ ซึ่งมารดาควรปรึกษาแพทย์เพื่อให้รักษาและแนะนำวิธีการให้นมแม่ที่ถูกต้องและเหมาะสม

เอกสารอ้างอิง

  1. Bunik M. Breastfeeding telephone triage and advice. 2nd The American Academy of Pediatrics 2016.

 

การเตรียมการสำหรับการให้นมแม่ในสัปดาห์แรกที่บ้าน

S__38207874

รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์

? ? ? ? หลังคลอดเมื่อมารดาได้รับอนุญาตให้กลับบ้าน ควรมีการเตรียมการสำหรับการให้นมแม่ในสัปดาห์แรก แน่นอนมารดาจำเป็นต้องมีการปรับตัวกับสมาชิกคนใหม่ในบ้านที่จะมาพร้อมกับภาระหน้าที่ของมารดาที่จำเป็นต้องให้นมแม่บ่อยวันละ 8-12 ครั้ง ต้องดูแลการขับถ่ายของทารก พร้อมกับปลอบประโลมเมื่อทารกร้องไห้ และมารดาบางคนอาจต้องมีหน้าที่ของภรรยาหรือแม่บ้านในการดูแลบ้าน ทำความสะอาด และการจัดเตรียมอาหารสำหรับสมาชิกในครอบครัว ซึ่งนับเป็นภาระที่มากที่อาจสร้างความเครียดและความวิตกกังวลให้กับมารดา ซึ่งจะส่งผลต่อการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้ มีข้อแนะนำสำหรับการเตรียมการในการให้นมแม่ในสัปดาห์แรกหลังคลอด ดังนี้

? ? ? ? ควรมีการวางแผนการสำหรับการให้นมลูกในสัปดาห์แรก โดยมีการพูดคุยกับสามีและสมาชิกในครอบครัวเพื่อสร้างความเข้าใจว่า จำเป็นต้องมีการแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบบางอย่างให้กับสมาชิกในครอบครัวช่วยจัดการ เช่น

? ? ? ? -การดูแลเรื่องความสะอาด การซักรีดเสื้อผ้า สามีจะเป็นผู้ดูแลหรือจัดจ้างแม่บ้าน หรือจ้างร้านซักรีด

? ? ? ? -การจัดเตรียมอาหาร แนะนำให้ซื้ออาหารสำเร็จรูปหรือกึ่งสำเร็จรูปมาเพื่อลดเวลาในการจัดเตรียม

? ? ? ? -การแจ้งให้ผู้ที่ต้องมาการเยี่ยมทราบว่า จะดีกว่า หากให้มารดาและครอบครัวได้ปรับตัวที่บ้านในสัปดาห์แรกๆ หลังคลอด และหากเป็นไปได้ แนะนำให้ การมาเยี่ยมทารกควรทำช่วงหลังคลอดประมาณ 1 เดือน เมื่อมารดาและครอบครัวปรับตัวกับสมาชิกคนใหม่ได้ดีแล้ว โดยช่วงนี้ อาจสื่อสารกับญาติ หรือเพื่อนสนิทผ่านโซเชียลมีเดีย ได้แก่ เฟสบุ๊คหรือไลน์ ไปก่อนในช่วงที่มารดาไม่เหนื่อยล้าหรืออ่อนเพลียจนเกินไป

? ? ? ? สำหรับมารดา การให้นมลูกแนะนำให้ให้ทุก 2-3 ชั่วโมง และเมื่อทารกหลับ มารดาควรงีบหลับไปด้วย เพื่อให้ได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอและไม่เหนื่อยล้าจนเกินไป ควรมีการจัดเตรียมเตียงนอนสำหรับมารดาที่ให้อยู่ใกล้กับทารกตลอด เพื่อให้สังเกตอาการหิวของทารกและให้นมได้สะดวก ควรมีการเตรียมอุปกรณ์สำหรับดูแลการขับถ่ายทารกไว้ใกล้ๆ พร้อมกับมีโทรศัพท์อยู่ในบริเวณที่สะดวกในการติดต่อ หากมารดาต้องการความช่วยเหลือ

? ? ? ? ?หลังจากผ่านไประยะหนึ่ง เมื่อมารดา ทารก และสมาชิกในครอบครัว เริ่มมีการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน และปรับตัวช่วยในบทบาทต่างๆ ที่เปลี่ยนไปได้แล้ว ครอบครัวก็จะได้พบกับความสุขในการมีสมาชิกใหม่ คนที่ได้รับการเอาใจใส่ และมีสำเร็จในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้เท่าที่ต้องการ เนื่องจากสัปดาห์แรกหลังคลอดเป็นเสมือนสัปดาห์ทองในการเริ่มต้นที่ดีการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่

เอกสารอ้างอิง

  1. Bunik M. Breastfeeding telephone triage and advice. 2nd The American Academy of Pediatrics 2016.

อัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวหกเดือนในประเทศไทย

00025-1-1-l-small

รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์

??????????????? เป็นที่ทราบกันดีว่า องค์การอนามัยโลกได้รณรงค์ส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่มาอย่างต่อเนื่อง และได้ตั้งเป้าหมายการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวหกเดือนไว้ที่ร้อยละ 50 ภายในปี ค.ศ. 2025 ในปัจจุบันอัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่หกเดือนโดยภาพรวมอยู่ที่ร้อยละ 39

? ? ? ? ? ? ? ?สำหรับในประเทศไทยปัจจุบัน โดยในปี พ.ศ.2547 กระทรวงสาธารณสุขได้ประกาศนโยบาย แนะนำให้มารดาเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวหกเดือน และตั้งเป้าหมายในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 9 (พ.ศ.2544-2549) และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 10 (พ.ศ.2550-2554) ไว้ว่า ทารกควรได้รับนมแม่อย่างเดียวนาน 6 เดือนอย่างน้อยร้อยละ 30 ?แต่จากการติดตามผลการดำเนินการเรื่องการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่นั้นพบว่า การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวอย่างน้อยสี่เดือนในปี 2536-2544 พบตั้งแต่ร้อยละ 1.0-16.31 ในปี พ.ศ.2549 องค์กรยูนิเซฟสำรวจการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในประเทศไทยพบการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวหกเดือนร้อยละ 5.4 ในปี พ.ศ.2552 จากการสำรวจอนามัยการเจริญพันธุ์ (National Reproductive Health Survey) ใน 76 จังหวัดทั่วประเทศพบการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวหกเดือนร้อยละ 15.52

? ? ? ? ? ? และในปี พ.ศ. 2555 องค์กรยูนิเซฟได้มีการสำรวจการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่หกเดือนในประเทศไทยซ้ำ พบว่าอัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่หกเดือนเท่ากับร้อยละ 12.3 ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเดิมในปี พ.ศ.2549 จะเห็นว่าตัวเลขของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ยังอยู่ในเกณฑ์ต่ำและไม่บรรลุเป้าหมาย แต่จากข้อมูลของกรมอนามัยในปี พ.ศ.2555 อัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวหกเดือนเท่ากับร้อยละ 47.5 โดยข้อมูลนี้เป็นข้อมูลจากฐานข้อมูลในโรงพยาบาลซึ่งจะมีความแตกต่างจากข้อมูลที่สำรวจในชุมชน ขณะที่แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 11 (พ.ศ.2555-2559) ได้ตั้งเป้าหมายการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว 6 เดือนร้อยละ 50 ซึ่งขยับเป้าหมายสูงขึ้น การจะบรรลุเป้าหมายนี้เป็นสิ่งท้าทายที่จำเป็นต้องความร่วมมือของทุกภาคส่วน รวมทั้งความตื่นตัวของกระแสสังคมและการสนับสนุนในด้านนโยบายที่เป็นรูปธรรมที่ชัดเจน

เอกสารอ้างอิง

  1. Puapornpong P, Manolerdthewan W, Raungrongmorakot K, Ketsuwan S, Wongin S. Factor effecting on breastfeeding success in infants up to 6 month of age in Nakhon Nayok province. J Med Health Sci 2009;16:116-23.
  2. Kongsri S, Limwattananon S, Sirilak S, Prakongsai P, Tangcharoensathien V. Equity of access to and utilization of reproductive health services in Thailand: national Reproductive Health Survey data, 2006 and 2009. Reprod Health Matters 2011;19:86-97.

 

 

อุปกรณ์ในการช่วยป้อนนม จำเป็นหรือไม่

DSC00123

รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์

? ? ? ? ? ทารกที่ดูดนมจากเต้าได้เป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่ธรรมชาติสร้างมา โดยให้ทารกได้รับทั้งความอบอุ่น สัมผัสที่กระตุ้นพัฒนาการ สายตาที่จะจดภาพจำ จมูกที่รับกลิ่นน้ำนมที่เป็นอาหารที่เหมาะสมสำหรับการดำรงชีวิตของทารกแรกเกิด

? ? ? ? ?แต่สำหรับทารกบางคนที่ไม่มีความพร้อมในการดูดนมจากเต้า ได้แก่ ทารกที่คลอดก่อนกำหนด? ทารกที่มีความผิดปกติของระบบประสาทหรือกล้ามเนื้อ ทารกที่มีความผิดปกติของช่องปาก หรือทารกที่เจ็บป่วยรุนแรง การใช้อุปกรณ์ในการช่วยป้อนนมอาจมีความจำเป็น

? ? ? ? ?การใช้อุปกรณ์ช่วยป้อนนมที่เต้านม (at-breast feeders) ในทารกที่พอจะดูดนมจากเต้าได้ แต่ดูดน้ำนมได้น้อยไม่เพียงพอ หรือดูดแล้วมีอาการหอบเหนื่อย การใช้อุปกรณ์ช่วยป้อนนมที่เต้านมจะเป็นช่วยให้ทารกได้รับน้ำนมมากขึ้น โดยในระหว่างที่ทารกดูดนม อุปกรณ์ป้อนที่มีถุงเก็บน้ำนมและมีสายมาวางติดที่เต้านมจะป้อนน้ำนมให้ไหลผ่านสายยางมาที่ปากและให้กับทารกขณะที่อมหัวนมและลานนมและดูดนมที่เต้า และการขณะเดียวกัน การดูดนมของทารกจะไปกระตุ้นกลไกการสร้างน้ำนมของมารดาเพิ่มขึ้นด้วย วิธีการนี้ ในโรงพยาบาลอาจทำโดยใช้สายยางต่อหลอดฉีดยาและนำมาให้ทารกในลักษณะเดียวกันได้

? ? ? ? ?การป้อนนมด้วยถ้วย ในทารกที่ไม่สามารถดูดนมจากเต้านมได้โดยตรง การป้อนนมด้วยถ้วยอาจพิจารณาการใช้ขณะที่รอทารกแข็งแรงขึ้น มีพัฒนาการที่ดีขึ้น อาการเจ็บป่วยมีความรุนแรงน้อยลง การป้อนนมด้วยถ้วยจะเป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้ทารกได้รับนม และเป็นการฝึกทักษะเบื้องต้นในการดูดนมแม่จากเต้า เนื่องจากในการป้อนนมด้วยถ้วยในระหว่างที่ป้อนนม ทารกจะต้องแลบลิ้นออกมา เพื่อช้อนน้ำนมจากถ้วยขึ้นไป ซึ่งลักษณะนี้จะเป็นขั้นตอนหนึ่งในการดูดนมจากเต้านมเช่นกัน ดังนั้น บางครั้งในมารดาบางคน บุคลากรทางการแพทย์จะแนะให้มารดาฝึกป้อนแก้วระหว่างที่รอทารกสมบูรณ์และพร้อมที่จะดูดนมจากเต้า

? ? ? ? ?การป้อนนมด้วยช้อน ลักษณะการป้อนควรมีการฝึกให้ทารกได้แลบลิ้นออกมา เลียหรือช้อนนมเข้าปากไป ซึ่งจะช่วยในกลไกการดูดนมจากเต้าเมื่อทารกมีความพร้อม การป้อนนมด้วยช้อนมักใช้ในมารดาและทารกที่มีลักษณะเช่นเดียวกับทารกที่ป้อนนมด้วยถ้วย แต่น้ำนมที่ป้อนมีปริมาณน้อย เช่น หัวน้ำนมที่มารดามีในสองสามวันแรกหลังคลอด

เอกสารอ้างอิง

  1. Cadwell K, Turner-Maffei C. Pocket guide for lactation management. .2nd?ed Burlington: Jones & Bartlett Learning 2014.

 

 

 

การแบ่งปันเครื่องปั๊มนม ควรหรือไม่อย่างไร

electric expression x1-l-small

รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์

? ? ? ? ?การแบ่งปันเป็นสิ่งที่ดี แต่เครื่องปั๊มนมต้องถือเป็นอุปกรณ์ที่ใช้งานเป็นการส่วนตัวอย่างหนึ่งที่ต้องใส่ใจหากจะมีการให้หรือแบ่งปัน เครื่องปั๊มนมมีส่วนประกอบหลายส่วนที่อาจเป็นที่สะสมและแพร่เชื้อโรคได้ เมื่อไม่ได้รับการดูแลอย่างถูกต้องและเหมาะสม การใช้เครื่องปั๊มนมของมารดาท่านหนึ่งและให้มารดาอีกท่านหนึ่งยืมไปใช้ เป็นเรื่องไม่ควรกระทำ เนื่องจากมารดาอาจไม่มีเวลาหรือไม่รู้ขั้นตอนที่จะทำความสะอาดหรือป้องกันการแพร่เชื้อจากมารดาท่านหนึ่งไปอีกท่านหนึ่งหรือไปสู่ทารกได้ เชื้อที่อาจจะแพร่ไปได้แก่ ไวรัสเอชไอวี หรือ ไวรัสตับอักเสบ ซึ่งหากมีการติดเชื้อผ่านเครื่องปั๊มนม อาจไม่คุ้มค่ากับการมักง่ายหรือเห็นเป็นเรื่องที่ลดค่าใช้จ่ายได้ การใช้เครื่องปั๊มนมมือสองก็เช่นกัน เนื่องจากบริษัทที่ผลิตเครื่องปั๊มนมออกแบบสำหรับการใช้เป็นการส่วนตัว ยกเว้น เครื่องปั๊มนมที่มีมาตรฐานคุณภาพทางการแพทย์ที่ใช้ในโรงพยาบาลที่ออกแบบสำหรับการใช้งานของผู้ใช้หลายคนและมีการดูแลระหว่างผู้ใช้แต่ละคนเป็นไปตามมาตรฐานจึงสามารถใช้ได้ด้วยความปลอดภัย

? ? ? ? ? สุดท้าย การพึ่งพาอุปกรณ์เทคโนโลยีอาจมีข้อจำกัดหลากหลายอย่าง การใช้วิธีบีบน้ำนมด้วยมือ ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่มารดามีติดตัวตลอด จึงน่าจะเหมาะสำหรับการใช้ชีวิตแบบเศรษฐกิจพอเพียงและเป็นการใช้ชีวิตแบบสไลว์ไลฟ์ (slow life) ที่เป็นสิ่งที่คนยุคปัจจุบันถวิลหา อยากย้อนยุคกลับไปสู่รากเหง้าพื้นฐานดั้งเดิมที่จำเป็นในการดำรงชีวิต

เอกสารอ้างอิง

  1. Cadwell K, Turner-Maffei C. Pocket guide for lactation management. 2nd?ed. Burlington: Jones & Bartlett Learning 2014.