คลังเก็บหมวดหมู่: ทารกแรกเกิด

ทารกแรกเกิด

ผลระยะยาวของโรคเบาหวานที่มีมาก่อนตั้งครรภ์ต่อทารก

รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์

              ทารกที่มีมารดาเป็นโรคเบาหวานเมื่ออายุมากขึ้น จะมีความเสี่ยงที่มีภาวะน้ำหนักเกิน โรคอ้วน โรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรคหัวใจและหลอดเลือด และโรคไตเพิ่มขึ้น โดยพบว่าทารกที่มีมารดาเป็นโรคเบาหวาน จะมีความเสี่ยงที่จะคลอดทารกแรกเกิดตัวโต การที่ทารกแรกเกิดตัวโตมากกว่า 4000 กรัมจะเพิ่มความเสี่ยงที่จะมีโรคอ้วน 2 เท่า และความเสี่ยงจะเพิ่มเป็น 2.5 เท่าหากทารกมีน้ำหนักแรกเกิดที่เปอร์เซ็นไทล์ (percentile) 90  เมื่อเปรียบเทียบดัชนีมวลกายของทารกที่มีมารดาเป็นโรคเบาหวานที่อายุ 18 ปี พบว่ามีค่าดัชนีมวลกายมากกว่าทารกที่มารดาไม่มีโรคเบาหวาน 0.94 กิโลกรัมต่อตารางเมตร และพบความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 เพิ่มขึ้น 6 เท่าในทารกที่มีมารดาเป็นโรคเบาหวาน โดยการเพิ่มขึ้นของโรคเบาหวานในทารกอธิบายจากพันธุกรรมและการที่ทารกมีการคลอดก่อนกำหนดจะมีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคเบาหวานเพิ่มขึ้นด้วย1  

สำหรับความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด และโรคไต มีคำอธิบายจากภาวะแวดล้อมในครรภ์ของมารดาที่มีน้ำตาลในเลือดสูง จะทำให้เกิดการทำงานที่ผิดปกติของเซลล์ผนังหลอดเลือดของทารก2 มีความเสี่ยงในการเกิดความดันโลหิตสูงเพิ่มขึ้น มีการเกิด oxidative stress3 ซึ่งจะมีผลทำให้ความยาวของเทโลเมียร์ (telomere) สั้นลง เทโลเมียร์คือ ส่วนของสายดีเอ็นเอที่อยู่บริเวณปลายของโครโมโซมทั้งสองข้าง โดยหน้าที่ที่สำคัญของเทโลเมียร์คือป้องกันดีเอ็นเอจากการถูกทำลาย และการพันกันของสายดีเอ็นเอ เมื่อเทโลเมียร์สั้นลง จะมีความสัมพันธ์กับการเสื่อมของเซลล์ ทำให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด1

เอกสารอ้างอิง

  1. Mitanchez D, Yzydorczyk C, Siddeek B, Boubred F, Benahmed M, Simeoni U. The offspring of the diabetic mother–short- and long-term implications. Best Pract Res Clin Obstet Gynaecol 2015;29:256-69.
  2. Ingram DA, Lien IZ, Mead LE, et al. In vitro hyperglycemia or a diabetic intrauterine environment reduces neonatal endothelial colony-forming cell numbers and function. Diabetes 2008;57:724-31.
  3. Abe J, Berk BC. Reactive oxygen species as mediators of signal transduction in cardiovascular disease. Trends Cardiovasc Med 1998;8:59-64.

 

ผลระยะยาวของโรคเบาหวานที่มีมาก่อนตั้งครรภ์ต่อมารดา

รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์

                       มารดาที่มีโรคเบาหวานที่มีมาก่อนตั้งครรภ์ในระยะยาวจะมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนของการทำงานที่ผิดปกติของเซลล์ผนังหลอดเลือด (endothelial dysfunction) ทำให้เลือดที่ไปหล่อเลี้ยงอวัยวะลดลง จนเกิดความผิดปกติของการทำงานของอวัยวะที่เกี่ยวข้องที่พบบ่อย ได้แก่ ตา ไต และปลายเท้า โดยในส่วนของตาจะพบความผิดปกติของจอประสาทตาจากโรคเบาหวาน (diabetic retinopathy) ซึ่งจะกระทบต่อการมองเห็น และในส่วนของไตจะพบความผิดปกติของการรั่วของอัลบูมิน (albumin) ในปัสสาวะเพิ่มขึ้น ซึ่งจะมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคไตจากเบาหวาน (diabetic nephropathy) ส่วนปลายเท้าจะมีอาการชา เกิดบาดแผลง่าย แผลหายช้า มีความเสี่ยงต่อการตัดเท้าหรือขาเพิ่มขึ้น1 นอกจากนี้ ยังพบมารดามีความเสี่ยงจากการเกิดโรคในกลุ่มที่มีปัจจัยเสี่ยงคล้ายคลึงกัน ได้แก่ ความดันโลหิตสูง กลุ่มอาการเมตาบอลิก ซึ่งทำให้มารดามีโอกาสที่จะมีโรคหัวใจและหลอดเลือดด้วย2

เอกสารอ้างอิง

  1. American Diabetes A. 11. Microvascular Complications and Foot Care: Standards of Medical Care in Diabetes-2020. Diabetes Care 2020;43:S135-S51.
  2. American Diabetes A. 10. Cardiovascular Disease and Risk Management: Standards of Medical Care in Diabetes-2020. Diabetes Care 2020;43:S111-S34.

 

ผลของโรคเบาหวานที่มีมาก่อนตั้งครรภ์ต่อการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่

รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์

              การที่มารดามีโรคเบาหวานที่มีมาก่อนตั้งครรภ์จะทำให้มารดามีภาวะแทรกซ้อนระหว่างการตั้งครรภ์สูงขึ้น ได้แก่ การมีความดันโลหิตสูง การมีภาวะครรภ์เป็นพิษ การคลอดยากจากทารกแรกเกิดตัวโต การคลอดก่อนกำหนด การคลอดทารกที่มีน้ำหนักตัวน้อย ทำให้มารดามีโอกาสผ่าตัดคลอดเพิ่มขึ้น พบการตกเลือดหลังคลอดสูงขึ้น และหากทารกมีการบาดเจ็บจากการคลอด มีภาวะหายใจเร็ว หรือมีภาวะน้ำตาลต่ำ จะเพิ่มโอกาสที่ทารกจำเป็นต้องแยกจากมารดาไปอยู่ที่หอผู้ป่วยทารกวิกฤต ทำให้การเริ่มต้นการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ทำได้ช้า มีระยะเวลาการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่และระยะเวลาการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวที่สั้นกว่า1-3 นอกจากนี้ การที่มารดามีโรคเบาหวานที่มีมาก่อนตั้งครรภ์จะส่งผลการมาของน้ำนม โดยพบความเสี่ยงของการมีน้ำนมมาช้าเพิ่มขึ้น4

              ในมารดาที่ความจำเป็นต้องใช้ยาฉีดและ/หรือยารับประทานเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลของมารดาในระยะแรกหลังคลอดสามารถให้ทารกกินนมแม่ได้ แต่ในรายที่มีการใช้ยากลุ่ม sulfonylurea อาจต้องมีการติดตามระดับน้ำตาลในทารก เพื่อป้องกันการเกิดภาวะน้ำตาลต่ำ โดยการให้ทารกได้รับการโอบกอดเนื้อแนบเนื้อ เริ่มให้นมแม่แก่ทารกตั้งแต่ในระยะแรกหลังคลอด ให้บ่อย ๆ และให้นมแม่แก่ทารกในช่วงกลางคืนจะช่วยป้องกันการเกิดภาวะน้ำตาลต่ำในทารกได้5,6

เอกสารอ้างอิง

  1. Schoen S, Sichert-Hellert W, Hummel S, Ziegler AG, Kersting M. Breastfeeding duration in families with type 1 diabetes compared to non-affected families: results from BABYDIAB and DONALD studies in Germany. Breastfeed Med 2008;3:171-5.
  2. Finkelstein SA, Keely E, Feig DS, Tu X, Yasseen AS, 3rd, Walker M. Breastfeeding in women with diabetes: lower rates despite greater rewards. A population-based study. Diabet Med 2013;30:1094-101.
  3. Rasmussen B, Nankervis A, Skouteris H, et al. Factors associated with breastfeeding to 3 months postpartum among women with type 1 and type 2 diabetes mellitus: An exploratory study. Women Birth 2019.
  4. De Bortoli J, Amir LH. Is onset of lactation delayed in women with diabetes in pregnancy? A systematic review. Diabet Med 2016;33:17-24.
  5. Dalsgaard BT, Rodrigo-Domingo M, Kronborg H, Haslund H. Breastfeeding and skin-to-skin contact as non-pharmacological prevention of neonatal hypoglycemia in infants born to women with gestational diabetes; a Danish quasi-experimental study. Sex Reprod Healthc 2019;19:1-8.
  6. Ringholm L, Roskjaer AB, Engberg S, et al. Breastfeeding at night is rarely followed by hypoglycaemia in women with type 1 diabetes using carbohydrate counting and flexible insulin therapy. Diabetologia 2019;62:387-98.

 

การดูแลรักษาเบาหวานที่มีมาก่อนการตั้งครรภ์

รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์

                รูปแบบในการดูแลรักษา จะประกอบด้วยการปรับเปลี่ยนรูปแบบในการดำเนินชีวิต กับการใช้ยาในการรักษา โดยการปรับเปลี่ยนรูปแบบในการดำเนินชีวิตจะคล้ายคลึงกับที่ได้บรรยายไว้ในหัวข้อโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ แต่สำหรับการใช้ยาในโรคเบาหวานชนิดที่ 1 จะใช้อินซูลินเป็นหลักในการรักษา ส่วนโรคเบาหวานชนิดที่ 2 จะมีการใช้ยาควบคุมระดับน้ำตาล ซึ่งจะมีการใช้ทั้งกลุ่ม biguanide ร่วมกับ sulfonylurea และ/หรือร่วมกับอินซูลิน และควรมีการตรวจประเมินการเกิดภาวะแทรกซ้อนในอวัยวะที่มีความเสี่ยงต่าง ๆ เช่น การตรวจตา และการตรวจการทำงานของไต โดยในระหว่างการตั้งครรภ์ควรปรับเปลี่ยนยาเป็นยาฉีด ซึ่งการใช้อินซูลินจะเป็นทางเลือกแรกในการรักษา ระดับน้ำตาลที่ควบคุมจะใช้ระดับเดียวกับโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ ยกเว้นในรายที่เป็นโรคเบาหวานมาก่อนการตั้งครรภ์ที่มีภาวะแทรกซ้อนจากเบาหวานที่ต้องการการให้คำปรึกษาที่จำเพาะ1,2

เอกสารอ้างอิง

  1. Fullerton B, Jeitler K, Seitz M, Horvath K, Berghold A, Siebenhofer A. Intensive glucose control versus conventional glucose control for type 1 diabetes mellitus. Cochrane Database Syst Rev 2014:CD009122.
  2. American Diabetes A. 6. Glycemic Targets: Standards of Medical Care in Diabetes-2020. Diabetes Care 2020;43:S66-S76.

เป้าหมายของการรักษาเบาหวานที่มีมาก่อนการตั้งครรภ์

รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์

             การดูแลรักษา เป้าหมายคือ การควบคุมน้ำตาลให้ใกล้เคียงปกติ เพื่อป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนในระหว่างการตั้งครรภ์และการคลอดรวมถึงภาวะแทรกซ้อนในระยะยาวต่อระบบหลอดเลือดและหัวใจ ความเข้มงวดของการควบคุมระดับน้ำตาลจะมีความแตกต่างกันในโรคเบาหวานชนิดที่ 1 ซึ่งจะมีความเข้มงวดในการควบคุมระดับน้ำตาลมากกว่าในโรคเบาหวานชนิดที่ 2 โดยจะประเมินจากค่า HbA1c ในโรคเบาหวานชนิดที่ 1 ควรจะมีการควบคุมให้อยู่ที่ร้อยละ 6.5  ขณะที่ในโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ควรจะมีการควบคุมให้ค่า HbA1c อยู่ที่ร้อยละ 71,2

เอกสารอ้างอิง

  1. Fullerton B, Jeitler K, Seitz M, Horvath K, Berghold A, Siebenhofer A. Intensive glucose control versus conventional glucose control for type 1 diabetes mellitus. Cochrane Database Syst Rev 2014:CD009122.
  2. American Diabetes A. 6. Glycemic Targets: Standards of Medical Care in Diabetes-2020. Diabetes Care 2020;43:S66-S76.