รศ.นพ.ภาวิน
พัวพรพงษ์
การเรียนรู้หรือการพัฒนาความรู้ในวิชาชีพเป็นสิ่งจำเป็นเนื่องจากศาสตร์ของความรู้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วตลอดเวลา
ทำให้ส่งผลต่อความเชื่อมั่นในการให้บริการในวิชาชีพ เมื่อขาดความเชื่อมั่นก็จะเป็นอุปสรรคในการให้คำปรึกษาและดูแลผู้รับบริการ
ซึ่งสิ่งนี้จะมีผลต่อวิชาชีพทุกวิชาชีพรวมทั้งวิชาชีพของทั้งแพทย์และพยาบาลที่มีความจำเป็นต้องมีการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต
เพื่อให้ความรู้ที่มีอยู่มีความทันสมัย ทำให้ผู้ป่วยมีความปลอดภัย และสร้างความเชื่อมั่นในการให้บริการโดยไม่เว้นแม้แต่ในการให้การดูแลมารดาที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่
ซึ่งจะพบว่า หากบุคลากรทางการแพทย์ขาดการพัฒนาความรู้ในวิชาชีพจะเป็นอุปสรรคอย่างหนึ่งในการสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวด้วย1
เอกสารอ้างอิง
1. Pemo K, Phillips D, Hutchinson AM.
Midwives’ perceptions of barriers to exclusive breastfeeding in Bhutan: A
qualitative study. Women Birth 2020;33:e377-e84.
รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์
แม้จะมีความดีใจที่ประเทศไทยได้ออกกฎหมายควบคุมการส่งเสริมการตลาดสำหรับอาหารทารกและเด็กเล็กตั้งแต่ปี
พ.ศ. 2560 คือ แต่ผลของการบังคับใช้ ยังไม่มีออกมาชัดเจน
และขาดการสื่อสารให้คนในสังคมทราบ กฎหมายนี้ออกมาเพื่อควบคุมการใช้การส่งเสริมการตลาดเพื่อขายสินค้าให้แก่มารดาและทารกโดยขาดจริยธรรม
หากเรามองดูตัวอย่างจากประเทศบราซิลที่มีกฎหมายควบคุมการส่งเสริมการตลาอดอาหารทารกและเด็กเล็กเหมือนกัน
มีการศึกษารวบรวมข้อมูลพบว่า มีการฝ่าฝืนกฎหมายถึง 1 ใน 5 ของผลิตภัณฑ์ในท้องตลาด
โดยผลิตภัณฑ์ที่มีการฝ่าฝืนมากที่สุดคือ นมผงดัดแปลงสำหรับทารก
และความผิดที่มีการฝ่าฝืนมากที่สุด ได้แก่ การเสนอส่วนลด
และการเสนอเงื่อนไขพิเศษในการจูงใจมารดาและครอบครัว1 ดังนั้น การทำให้เกิดความตระหนักร่วมกันในสังคม
จึงเป็นบทบาทของบุคลากรทางการแพทย์และผู้ที่มีส่วนรับผิดชอบที่จะช่วยสร้างให้เกิดสำนึกในการดูแล
ไม่ปล่อยปะละเลย ให้เป็นเพียงหน้าที่ของคนใดคนหนึ่ง
สิ่งนี้จะช่วยปกป้องการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้
เอกสารอ้างอิง
1. Silva KBD, Oliveira MIC, Boccolini CS, Sally EOF.
Illegal commercial promotion of products competing with breastfeeding. Rev
Saude Publica 2020;54:10.
รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์
ในระยะหลังคลอด
มารดาจะมีความเสี่ยงที่จะมีภาวะเครียดหรืออาการซึมเศร้าได้ เนื่องจากมารดามีอาการเจ็บปวดระหว่างการคลอด
มีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายและระบบฮอร์โมน มีอาการเหนื่อยล้าอ่อนเพลียจากการคลอด ซึ่งสาเหตุต่าง
ๆ เหล่านี้จะส่งผลต่อสภาวะทางด้านจิตใจของมารดา ซึ่งมีการศึกษาพบว่า
การที่มารดาให้ลูกกินนมแม่จะช่วยลดภาวะเครียดและอาการซึมเศร้าของมารดาลงได้
โดยยิ่งให้ลูกกินนมแม่นานยิ่งสัมพันธ์กับการลดภาวะเครียดและอาการซึมเศร้ายิ่งมาก1 ในทางกลับกัน หากพบว่ามารดามีภาวะเครียดหรือซึมเศร้าจะมีผลเสียต่อการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
ดังนั้น
การส่งเสริมสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ตั้งแต่ในระยะแรกหลังคลอดจะช่วยให้สุขภาวะทางอารมณ์ของมารดาดี
และเมื่อมารดามีสุขภาวะทางอารมณ์ดีก็จะช่วยให้การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ทำได้ดีด้วย
เอกสารอ้างอิง
1. Shay M, Tomfohr-Madsen L, Tough S. Maternal
psychological distress and child weight at 24 months: investigating indirect effects
through breastfeeding in the All Our Families cohort. Can J Public Health 2020.
รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์
ความเชื่อมั่นว่าตนเองสามารถเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เป็นปัจจัยที่มีความสำคัญและส่งผลต่อความสำเร็จของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
แม้ว่าในสมัยก่อนมักมีความเชื่อว่าการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เป็นสัญชาตญาณที่มารดาทุกคนต้องทำได้
แต่ยุคสมัยเปลี่ยนไป แม่ที่เป็นมารดาจะมีความห่างไกลจากประสบการณ์การเห็นแม่ของแม่
คนในบ้าน หรือเพื่อนบ้านให้นมลูก
และการขาดผู้ที่มีประสบการณ์ในการให้นมลูกอยู่ในครอบครัวที่จะคอยแนะนำและช่วยเหลือมารดาหากมารดามีปัญหาในการให้นมแม่
เนื่องจากการที่เป็นครอบครัวเดี่ยวซึ่งมีแนวโน้มมากขึ้น
ขณะที่อัตราการเกิดของประชากรมีแนวโน้มลดลงเรื่อย ๆ ดังนั้น
ความจำเป็นในการสอนมารดาในเรื่องการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่จึงมีความสำคัญ
และจากการศึกษาวิจัยเชิงทดลองแบบสุ่มชนิดมีกลุ่มควบคุม (randomized controlled trial) พบว่า
การสอนมารดาเรื่องาการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในระหว่างการฝากครรภ์จะช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นของมารดาในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่และยังมีส่วนช่วยในการแก้ปัญหาการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ของมารดาในระยะหลังคลอดได้1
จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่บุคลากรทางการแพทย์ควรจัดให้มีการสอนการเลี้ยงลูกด้วยนมระหว่างการฝากครรภ์โดยจัดให้เป็นงานประจำ
เอกสารอ้างอิง
1. Shafaei
FS, Mirghafourvand M, Havizari S. The effect of prenatal counseling on
breastfeeding self-efficacy and frequency of breastfeeding problems in mothers
with previous unsuccessful breastfeeding: a randomized controlled clinical
trial. BMC Womens Health 2020;20:94.
รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์
ในทารกแรกเกิดจนถึงหกเดือน มารดาควรให้ลูกกินนมแม่อย่างเดียว หลังจากนั้น มารดาควรจะให้ลูกกินนมแม่ร่วมกับอาหารเสริมตามวัยจนกระทั่งสองปีหรือนานกว่านั้นขึ้นอยู่กับความต้องการของมารดาและทารก ซึ่งหากพิจารณาอาหารที่ทารกควรจะได้รับตามอายุพบว่า ในช่วงอายุที่ทารกควรกินนมแม่ยังขาดความเหมาะสม โดยสาเหตุที่พบจากการรายงานในประเทศอินโดนีเซีย ได้แก่ การที่มารดารู้สึกว่าตนเองมีน้ำนมไม่เพียงพอ อิทธิพลของสมาชิกในครอบครัวที่มีส่วนในการตัดสินใจที่จะเริ่มอาหารเสริม หรือเลือกที่จะเปลี่ยนจากการให้นมแม่เป็นการให้นมผงดัดแปลงสำหรับทารก และปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจ คือ ในมารดาที่มีรายได้สูงหรือรวยจะมีแนวโน้มหรือที่จะเปลี่ยนไปให้ลูกกินนมผงดัดแปลงสำหรับทารกเร็ว1 ซึ่งหากกลับมามองถึงข้อมูลในประเทศไทย ลักษณะที่พบเทียบเคียงแล้วมีความคล้ายคลึงกัน แต่ยังพบว่าปัจจัยในเรื่องมารดาต้องกลับไปทำงานยังเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ในช่วงหกเดือนแรกทารกไม่ได้รับการกินนมแม่อย่างเดียว แนวทางที่จะช่วยปรับปรุงให้ทารกได้รับนมแม่ตามวัยที่เหมาะสมจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากหลาย ๆ ฝ่าย ทั้งทางภาครัฐที่จะออกนโยบายปกป้องและสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ การรณรงค์ให้ความรู้ที่เหมาะสมกับประชาชน การเพิ่มระยะเวลาการลาพักหลังคลอดเป็นหกเดือนเพื่อเปิดโอกาสให้มารดาสามารถเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวหกเดือน ร่วมกับการให้ความร่วมมือของภาคเอกชนที่จัดทำสถานที่บีบเก็บน้ำนมในสถานประกอบการ การจัดทำมุมนมแม่ในที่ห้างสรรพสินค้าหรือที่สาธารณะ และการสร้างค่านิยมที่จะเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ให้เกิดกับคนในสังคมซึ่งส่งผลต่อสมาชิกในครอบครัวที่จะมีบทบาทสำคัญในการเลือกให้ทารกได้กินนมแม่หรืออาหารเสริมที่เหมาะสมตามวัยของทารก
เอกสารอ้างอิง
1. Sebayang SK, Dibley MJ, Astutik
E, Efendi F, Kelly PJ, Li M. Determinants of age-appropriate breastfeeding,
dietary diversity, and consumption of animal source foods among Indonesian
children. Matern Child Nutr 2020;16:e12889.
เรื่องนำทาง
แหล่งความรู้ เกี่ยวกับสูติ-นรีเวช (Obstetrics-Gynecology)