คลังเก็บหมวดหมู่: ความรู้สำหรับนักศึกษา

ความรู้สำหรับนักศึกษา

มารดาที่เป็นแพทย์ให้นมลูกได้นานไหม

รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์

          แม้ว่าแพทย์จะเป็นผู้นำในการส่งเสริมและสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ แต่เมื่อมีคำถามที่ถามว่า “แล้วแพทย์ละ ให้ลูกกินนมแม่ได้นานไหม” มีการศึกษาในตรุกีที่ตอบคำถามนี้ โดยมีการสำรวจออนไลน์ในมารดาที่เป็นแพทย์ มีผู้ตอบข้อมูลกลับทั้งสิ้น 615 ราย พบว่ามารดาที่เป็นแพทย์มีค่าเฉลี่ยของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว 4.8 เดือน ระยะเวลาการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เฉลี่ย 15.8 เดือน โดยที่มีมารดาที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ถึงสองปีได้เพียงแค่ร้อยละ 17.8 สำหรับอุปสรรคที่ทำให้ต้องหยุดการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่คือ สภาวะที่เกี่ยวข้องกับสถานที่ทำงาน พบมารดาที่เป็นแพทย์มีการอยู่เวรในช่วงเวรดึกเฉลี่ย 8.6 เดือนหลังคลอด และพบมารดาที่เป็นแพทย์ไม่สามารถลาพักหลังคลอดเพื่อให้นมลูกตามสิทธิการลาถึงร้อยละ 43.61 จากผลลัพธ์ของการที่แพทย์ตอบคำถามมา แสดงให้เห็นว่า ลักษณะของการทำงานของอาชีพแพทย์ยังคงมีส่วนที่เป็นอุปสรรคในการที่จะให้การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ให้ได้ตามเกณฑ์ขององค์การอนามัยโลกคือ เลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวหกเดือน และหลังจากนั้นเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ร่วมกับอาหารเสริมตามวัยจนกระทั่งครบสองปีหรือนานกว่านั้น โดยขึ้นอยู่กับความต้องการของมารดาและทารก ซึ่งการที่จะช่วยแก้ปัญหานี้ได้ต้องมีการให้ความสำคัญกับปัญหานี้ก่อน แม้ว่าจำนวนกลุ่มอาชีพแพทย์จะมีไม่มาก แต่เนื่องจากการคำนึงถึงความเป็นต้นแบบของการส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่แล้ว ปัญหานี้น่าจะมีขนาดปัญหาที่ใหญ่ ซึ่งองค์กรวิชาชีพควรใส่ใจ ผลักดันแนวทางการแก้ปัญหานี้ เพื่อส่งเสริมให้ลูกของแพทย์ได้กินนมแม่นานขึ้น เป็นแบบอย่าง และได้รับประสบการณ์ที่จะช่วยให้คำปรึกษาปัญหาเรื่องการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้ดีขึ้น

เอกสารอ้างอิง

  1. Ersen G, Kasim I, Agadayi E, Demir Alsancak A, Sengezer T, Ozkara A. Factors Affecting the Behavior and Duration of Breastfeeding Among Physician Mothers. J Hum Lact 2020:890334419892257.

 

การให้คำปรึกษามารดาที่มีปัญหาการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่

รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์

          ปัญหาการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ มีตั้งแต่ปัญหาทางด้านร่างกาย ตัวอย่างเช่น มารดามีหัวนมบอด ทารกมีภาวะลิ้นติด ปัญหาทางด้านจิตใจ ตัวอย่างเช่น มารดามีภาวะเครียด หรือภาวะซึมเศร้าหลังคลอด ปัญหาทางด้านครอบครัวและสังคม ตัวอย่างเช่น ปู่ย่าตายายจะให้ทารกกินน้ำ หรือมารดาต้องกลับไปทำงานเร็วเพื่อช่วยในการหารายได้ให้กับครอบครัว จะเห็นว่าปัญหามีความหลากหลายและจะมีความแตกต่างในมารดาและทารกในแต่ละคู่ที่ไม่เหมือนกัน การให้คำปรึกษามารดาและครอบครัวจึงต้องยึดหลักดังนี้

  • ให้คำปรึกษาให้ตรงประเด็นกับปัญหาที่มีความจำเพาะสำหรับปัมารดาและทารกในแต่ละคู่
  • คำปรึกษาที่ให้ต้องอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงในบริบทของมารดา1
  • ให้ทางเลือกที่มีประสิทธิภาพในการแก้ปัญหาสองหรือสามทางเลือก เพื่อให้มารดาได้เลือกตัดสินใจในการแก้ปัญหาด้วยตนเอง
  • เคารพการตัดสินใจของมารดา ยอมรับและไม่กล่าวโทษมารดาในกรณีที่มารดาปฏิบัติไปแล้วไม่ประสบความสำเร็จ ควรให้กำลังใจว่ามารดาได้ทำดีที่สุดแล้ว เสริมพลัง และเสนอทางออกหรือทางเลือกใหม่ให้มารดาในการให้การสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ต่อไป

เอกสารอ้างอิง

  1. Doherty T, Horwood C, Haskins L, et al. Breastfeeding advice for reality: Women’s perspectives on primary care support in South Africa. Matern Child Nutr 2020;16:e12877.

 

ปัญหาการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในมารดาที่มีน้ำหนักเกินหรืออ้วน

รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์

          ปัญหาการให้นมลูกในมารดาที่มีน้ำหนักเกินหรืออ้วน เกิดจากมารดาที่มีน้ำหนักเกินหรืออ้วนจะมีความเสี่ยงที่มีภาวะแทรกซ้อนในระหว่างการฝากครรภ์และในระยะคลอดเพิ่มขึ้น ได้แก่ การมีภาวะเบาหวานระหว่างการตั้งครรภ์ การมีภาวะความดันโลหิตสูงระหว่างการตั้งครรภ์ การคลอดยาก ซึ่งทำให้มีโอกาสที่จะได้รับการผ่าตัดคลอดสูง ซึ่งทำให้การเริ่มต้นการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เริ่มต้นได้ช้า นอกจากนี้มารดาที่มีน้ำหนักเกินหรืออ้วน จะมีน้ำนมมาช้า โดยหากมารดามีเต้านมที่ใหญ่ด้วย การจัดท่าให้นมลูกจะยาก ดังนั้น จึงต้องมีการให้ความรู้และฝึกอบรมให้บุคลากรทางการแพทย์สามารถเลือกให้คำแนะนำที่เหมาะสมในการแก้ปัญหาที่มักพบในมารดากลุ่มนี้1 จะช่วยเพิ่มอัตาการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในมารดาที่มีน้ำหนักเกินหรืออ้วนได้

เอกสารอ้างอิง

  1. Piro SS, Ahmed HM. Impacts of antenatal nursing interventions on mothers’ breastfeeding self-efficacy: an experimental study. BMC Pregnancy Childbirth 2020;20:19.

เต้านมใหญ่ ให้นมแม่ได้ดีจริงหรือ

รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์

                  ข้อมูลนี้ไม่เป็นความจริง ขนาดของเต้านมไม่ได้สัมพันธ์กับการประสบความสำเร็จในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เนื่องจากการสร้างน้ำนมขึ้นอยู่กับต่อมน้ำนมที่จะมีอยู่คล้ายคลึงในมารดาที่มีเต้านมใหญ่และเต้านมเล็ก แต่ที่แตกต่างกันคือปริมาณไขมันที่สะสมอยู่บริเวณเต้านม ดังนั้น หากมีการเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนาการของเต้านมได้อย่างเป็นปกติ การสร้างน้ำนมของมารดาที่มีเต้านมเล็กหรือใหญ่ก็ไม่แตกต่างกัน จะขึ้นอยู่กับการกระตุ้นการสร้างน้ำนมที่ถูกวิธี ก็คือ การให้ลูกดูดกระตุ้นน้ำนมบ่อย ๆ และดูดจนเกลี้ยงเต้า นอกจากนี้ในมารดาที่มีเต้านมขนาดใหญ่ มักพบในมารดาที่มีน้ำหนักเกินหรืออ้วน ขนาดเต้านมที่ใหญ่อาจจะมีผลทำให้การจัดท่าให้นมที่เหมาะสมยากกว่า และในมารดากลุ่มนี้อาจพบมีน้ำนมมาช้า มีภาวะแทรกซ้อนระหว่างการตั้ง ครรภ์และคลอดสูงกว่า ทำให้มีโอกาสที่จะผ่าตัดคลอดมากกว่า1 ซึ่งจะมีผลทำให้การเริ่มต้นการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ทำได้ช้า จะเห็นว่า การที่ขนาดเต้านมใหญ่ไม่ได้มีข้อดีเหนือกว่าขนาดเต้านมปกติ ซึ่งการมีขนาดเต้านมที่มีความพอดีเหมาะสมสำหรับขนาดทารกของมารดาเอง จะเป็นการดีที่สุด

เอกสารอ้างอิง

  1. Chang YS, Glaria AA, Davie P, Beake S, Bick D. Breastfeeding experiences and support for women who are overweight or obese: A mixed-methods systematic review. Matern Child Nutr 2020;16:e12865.

 

คำแนะนำทางการแพทย์สำคัญต่อการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว

รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์

              แม้ว่าจะมีหลักฐานสนับสนุนประโยชน์ของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวหกเดือนจากคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก แต่เมื่อมารดาได้รับอนุญาตให้กลับบ้านหลังคลอด กลับไปอยู่ในชุมชน ค่านิยม ธรรมเนียมปฏิบัติ ความเชื่อ คำแนะนำจากปู่ย่าตายาย สมาชิกในครอบครัว เพื่อน ล้วนมีผลต่อการคงการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวในช่วงหกเดือนแรก ซึ่งหากเป็นความเชื่อ ค่านิยม หรือคำแนะนำที่ผลเสีย หรือเป็นอุปสรรคต่อการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว ตัวอย่างที่พบบ่อย ได้แก่ การให้ลูกกินน้ำล้างปาก หรือกินน้ำเพื่อลดอาการหิวหรือกระหายน้ำ มีการศึกษาพบว่า คำแนะนำที่ถูกต้องจากบุคลากรทางการแพทย์จะสามารถช่วยเพิ่มการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว1 ดังนั้น บุคลากรทางการแพทย์หรือสถานพยาบาลควรใส่ใจหรือให้ความสำคัญกับการให้คำแนะนำของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวอย่างต่อเนื่อง

เอกสารอ้างอิง

  1. Gasparin VA, Strada JKR, Moraes BA, Betti T, Pitilin EB, Santo L. Factors associated with the maintenance of exclusive breastfeeding in the late postpartum. Rev Gaucha Enferm 2020;41:e20190060.