รศ.นพ.ภาวิน
พัวพรพงษ์
ทารกที่คลอดก่อนกำหนดนอกจากจะมีความเสี่ยงในการเกิดการหายใจเร็วจากการพัฒนาที่ไม่สมบูรณ์ของปอด
การเกิดเลือดออกในสมอง และภาวะอักเสบของลำไส้แล้ว ยังพบว่ามีความสัมพันธ์การสบฟันที่มีความผิดปกติระดับปานนกลางถึงรุนแรงเพิ่มขึ้น
โดยพบว่า การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่จะช่วยป้องกันและลดการเกิดการสบฟันที่ผิดปกติได้1 ขณะที่การใช้หัวนมหลอก
(pacifiers) จะเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดการสบฟันที่ผิดปกติ
ดังนั้น บุคลากรทางการแพทย์ควรสนับสนุนให้ทารกที่คลอดก่อนกำหนดกินนมแม่ เพื่อช่วยในเรื่องภูมิคุ้มกันที่ดีให้แก่ทารก
ลดการเกิดภาวะแทรกซ้อน และลดจำนวนวันที่ต้องนอนโรงพยาบาลแล้ว
ยังช่วยป้องกันการสบฟันที่ผิดปกติด้วย
เอกสารอ้างอิง
1. da Rosa DP, Bonow MLM, Goettems ML, et al. The
influence of breastfeeding and pacifier use on the association between preterm
birth and primary-dentition malocclusion: A population-based birth cohort
study. Am J Orthod Dentofacial Orthop 2020;157:754-63.
รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์
ขั้นตอนการให้การดูแลมารดาและทารกมีส่วนสำคัญต่อการสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
เริ่มตั้งแต่กระบวนการการให้ความรู้แก่มารดาตั้งแต่ในระยะฝากครรภ์ถึงความสำคัญและประโยชน์ของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
ในระหว่างการคลอด การให้มารดามีการโอบกอดทารกเนื้อแนบเนื้อและเริ่มต้นการให้ลูกกินนมแม่ภายในหนึ่งชั่วโมงแรกหลังคลอด
และในระยะหลังคลอด การให้มารดาอยู่ร่วมกับทารกตลอด 24 ชั่วโมง การมีการสอนการจัดท่าให้นมลูกที่เหมาะสม
การสอนการบีบเก็บน้ำนมด้วยมือและการเก็บรักษาน้ำนม โดยแนวทางเหล่านี้ จะสัมพันธ์กับการช่วยสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่1
ซึ่งแนวทางการปฏิบัติเหล่านี้จะมีอยู่ในโรงพยาบาลที่เป็นโรงพยาบาลสายสัมพันธ์แม่ลูก
ดังนั้น หากมารดามีความตั้งใจในการที่จะเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
ควรมีการวางแผนที่จะฝากครรภ์และคลอดในโรงพยาบาลสายสัมพันธ์แม่ลูก เพื่อเพิ่มโอกาสที่จะประสบความสำเร็จในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
เอกสารอ้างอิง
1. Crenshaw JT, Budin WD. Hospital
Care Practices Associated With Exclusive Breastfeeding 3 and 6 Months After
Discharge: A Multisite Study. J Perinat Educ 2020;29:143-51.
รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์
มีการศึกษาในประเทศอิตาลีที่ศึกษาถึงผลในระยะยาวของการอบรมออนไลน์ที่มีต่อทัศนคติและการปฏิบัติของบุคลากรทางการแพทย์ในการสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
โดยทำการเก็บข้อมูลจากการออกแบบสอบถามออนไลน์ให้บุคลากรทางการแพทย์ตอบ โดยจะมี 3 ช่วงเวลาของการตอบแบบสอบถามคือ
ก่อนการอบรม หลังการอบรมทันที และหลังการอบรม 1 ปี จากการสำรวจในบุคลากรทางการแพทย์จำนวนทั้งหมด
26009 ราย โดยมีผู้ที่ให้ข้อมูลครบถ้วนสมบูรณ์ทั้ง 3 ช่วงเวลาจำนวน 4582 ราย
ซึ่งผู้ที่ตอบแบบสอบถามอายุเฉลี่ย 37 ปี ส่วนใหญ่ร้อยละ 87 และเป็นพยาบาลและผดุงครรภ์มากที่สุดร้อยละ
62 รองลงมาเป็นแพทย์ร้อยละ 14 เภสัชกรร้อยละ 4
ที่เหลือเป็นบุคลากรทางการแพทย์ในสาขาอื่น ๆ
ผลการศึกษาพบว่า การอบรมให้ความรู้ทางออนไลน์เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สามารถช่วยเพิ่มทัศนคติและการปฏิบัติในการปกป้อง ส่งเสริม และสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ของบุคลากรทางการแพทย์ได้ 1 อย่างไรก็ตาม พบว่าทัศนคติและการปฏิบัติในการสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ที่เพิ่มขึ้นหลังการอบรมจะลดลงตามระยะเวลา ดังนั้น ควรมีการกระตุ้นเตือนเพื่อช่วยให้บุคลากรทางการแพทย์คงทัศนคติที่ดีและให้การสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เป็นระยะ ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยอาจจัดเป็นการให้ความรู้ทุก 2-3 เดือนในลักษณะที่มีรางวัลตอบแทนจากการตอบแบบทดสอบ (quiz) หรือทำเป็นเกมส์ต่อคำ (crossword) ก็น่าจะช่วยได้ และควรจัดให้มีการฟื้นความรู้สม่ำเสมอทุกปี (refresher course)
นอกจากนี้ยังมีการสำรวจถึงหัวข้อเรื่องที่ต้องการให้มีการจัดอบรมและรูปแบบที่ต้องการให้จัดอบรม พบว่า เรื่องที่ต้องการให้มีการจัดอบรมมากที่สุด (training need) ได้แก่ การใช้ยาในระหว่างการให้นมบุตร ร้อยละ 97 รองลงมา ได้แก่ การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในทารกคลอดก่อนกำหนดร้อยละ 90 และการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในมารดาที่ต้องกลับไปทำงานร้อยละ 86 โดยเกือบทุกหัวข้อบุคลากรทางการแพทย์ต้องการให้จัดอบรมออนไลน์ ยกเว้นหัวข้อการจัดท่าให้นมลูก การเข้าเต้า และการดูดนมที่มีประสิทธิภาพของทารก ที่บุคลากรทางการแพทย์ยังคงต้องการให้จัดประชุมในรูปแบบเดิม สิ่งนี้สะท้อนถึง ความจำเป็นที่ควรจะต้องจัดรูปแบบการเรียนการสอนหัวข้อ “การจัดท่าให้นมลูก การเข้าเต้า และการดูดนมที่มีประสิทธิภาพของทารก สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ที่ต้องมีการฝึกทักษะที่การเรียนออนไลน์ไม่ได้ตอบโจทย์การสร้างทักษะเหล่านี้ให้แก่บุคลากร”
เอกสารอ้างอิง
1. Colaceci S, Zambri F, D’Amore C,
et al. Long-Term Effectiveness of an E-Learning Program in Improving Health
Care Professionals’ Attitudes and Practices on Breastfeeding: A 1-Year Follow-Up
Study. Breastfeed Med 2020;15:254-60.
รศ.นพ.ภาวิน
พัวพรพงษ์
ในประเทศไทย ข้อมูลของการดูแลการคลอดจะอยู่ในสมุดฝากครรภ์และคลอดของมารดา
ข้อมูลของทารกจะอยู่ในสมุดดูแลเรื่องวัคซีนและติดตามการเจริญเติบโตของทารก
ซึ่งข้อมูลจะแยกส่วนกันและการติดตามดูข้อมูลของทั้งมารดาและทารกจะมีข้อจำกัดและมีโอกาสที่จะมีการสูญหายหรือขาดความสมบูรณ์ของข้อมูลได้
ปัจจุบัน เมื่อเข้าสู่ยุคข้อมูลข่าวสารผ่านดิจิทัล ควรมีการพัฒนาข้อมูลของการดูแลทารกให้มีข้อมูลของการดูแลระหว่างการตั้งครรภ์และคลอดโดยเชื่อมโยงกับข้อมูลของมารดา
ซึ่งอาจจะทำเป็นข้อมูลในสูติบัตรที่เป็นบัตรคล้ายบัตรประชาชนที่สามารถเก็บข้อมูลทะเบียนราษฎร์ไปพร้อมกับข้อมูลด้านสุขภาพตั้งแต่อยู่ในครรภ์และคลอด
ข้อมูลการกินนมแม่ อาหารทารก การเจริญเติบโตและพัฒนาการ การฉีดวัคซีน และการเจ็บป่วยของทารกโดยมีความเชื่อมโยงกับข้อมูลของมารดา
ซึ่งมีการศึกษาพบว่า การสรุปข้อมูลของทารกขณะอยู่โรงพยาบาลและข้อมูลการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ก่อนกลับบ้านอย่างครบถ้วนจะช่วยในการดูแลทารกต่อเนื่อง
ลดความซ้ำซ้อนของการใช้ทรัพยากรทางการแพทย์1 จะเป็นประโยชน์ต่อทั้งแก่ตัวทารกและระบบสาธารณสุข
และยังมีส่วนในการช่วยส่งต่อข้อมูลการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ที่จะช่วยในการวางแนวทางการสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเหมาะสม
เอกสารอ้างอิง
1. Colaceci S, Chapin EM, Zambri F, et al. Verba volant,
scripta manent: breastfeeding information and health messages provided to
parents in the neonatal discharge summary in the Lazio Region, Italy. Ann Ist
Super Sanita 2020;56:142-9.
รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์
การที่จะบอกว่ามารดามีน้ำหนักเกินหรืออ้วนนั้น
ต้องดูจากค่าดัชนีมวลกาย ซึ่งต้องใช้น้ำหนักของมารดาก่อนการตั้งครรภ์มาคำนวณ
ในกรณีที่พบว่ามารดามีดัชนีมวลกายอยู่ในเกณฑ์อ้วน
จะเพิ่มความเสี่ยงที่จะมีภาวะแทรกซ้อนในระหว่างการตั้งครรภ์ ระยะคลอด ระยะหลังคลอด
รวมถึงการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ โดยพบว่ามารดาที่มีดัชนีมวลกายอยู่ในเกณฑ์อ้วนจะมีความเสี่ยงที่จะหยุดการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ก่อนเวลาอันควรเพิ่มขึ้น1 แต่ปัจจัยที่จะมีผลดีต่อระยะเวลาของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
ได้แก่ การที่มารดามีอายุมากขึ้น หรือมารดาที่เป็นครรภ์หลังจะลดความเสี่ยงที่จะมีการหยุดการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ก่อนเวลาอันควร
เนื่องจากการที่มารดามีประสบการณ์การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่มาก่อน ดังนั้น
การส่งเสริมให้ความรู้แก่สตรีที่มีการวางแผนที่จะมีบุตรให้มีการดูแลให้มีดัชนีมวลกายอยู่ในเกณฑ์ปกติถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นอย่างหนึ่งในการที่จะป้องกันและลดภาวะแทรกซ้อนในระหว่างการตั้งครรภ์และคลอด
และยังเป็นการช่วยสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ด้วย
เอกสารอ้างอิง
1. Claesson IM, Myrgard M, Wallberg M, Blomberg M. The
Association Between Covariates, with Emphasis on Maternal Body Mass Index, and
Duration of Exclusive and Total Breastfeeding. Breastfeed Med 2020.
เรื่องนำทาง
แหล่งความรู้ เกี่ยวกับสูติ-นรีเวช (Obstetrics-Gynecology)