รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์
??????????????? จากข้อมูลที่ได้จากการประเมินการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ บุคลากรทางการแพทย์จำเป็นต้องตรวจมารดาและทารกในรายละเอียดต่อไปนี้
- ตรวจน้ำหนักทารกและประเมินอายุครรภ์
- ประเมินพฤติกรรมและความพร้อมของระบบประสาทของทารก
- คำนวณน้ำหนักของทารกที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงหลังการคลอด
- สังเกตพฤติกรรมมารดาและทารกขณะทารกกินนมแม่
- ตรวจเต้านมมารดา
- ตรวจทารกโดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำงานของกล้ามเนื้อและความผิดปกติในช่องปาก
- ประเมินภาวะขาดน้ำของทารก
- ประเมินภาวะตัวเหลืองของทารก
? ? ? ? ? ? ? จะเห็นว่า หลักที่สำคัญในการตรวจเพื่อส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ต้องตรวจเต้านม ตรวจช่องปากและการทำงานของกล้ามเนื้อโดยละเอียดเพื่อประเมินความพร้อมในการเข้าเต้า และสังเกตมารดาและทารกขณะกินนมแม่ สิ่งนี้เป็นขั้นตอนที่ควรให้ความสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามในการสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
เอกสารอ้างอิง
- The American of Obstetricians and Gynecologist, American Academy of Pediatrics. Breastfeeding handbook for physician. 2nd edition. 2014.
รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์
??????????????? การประเมินการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เป็นสิ่งที่จำเป็น แต่ในทางปฏิบัติมีทั้งการปฏิบัติที่ไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสม หรือขาดความครบถ้วนในการให้การดูแล รายละเอียดที่ต้องประเมินสำหรับการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ มีดังนี้
- ทบทวนประวัติฝากครรภ์ ประวัติการคลอด และการดูแลทารกหลังเกิดใหม่
- พูดคุยกับมารดาถึงเวลาและกระบวนการที่มารดาให้นมลูกครั้งแรกหลังคลอด
- สอบถามมารดาว่า เคยมีการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่มาก่อนหรือไม่
- มารดาปฏิบัติอย่างไรในการให้นมลูก และรู้สึกอย่างไรกับการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
- ทารกจำเป็นต้องกระตุ้นหรือปลุกให้ตื่นเพื่อกินนมหรือไม่
- ทารกเข้าเต้าง่ายหรือกระตือรือร้นที่จะกินนมหรือไม่
- ทารกได้รับการเข้าเต้าเพื่อให้นมกี่ครั้งใน 24-48 ชั่วโมงแรก
- ทารกได้รับการเสริมด้วยอาหารอื่นใดนอกจากนมแม่หรือไม่
- จำนวนครั้งในการเปลี่ยนผ้าอ้อมที่เปียกแฉะใน 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา
- จำนวนครั้งที่ถ่ายอุจจาระของทารกใน 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา
- มารดารู้สึกสบายในการให้นมหรือมีการเจ็บเต้านมหรือหัวนม
- มารดารับประทานยาอะไรเป็นประจำหรือไม่
- สมาชิกในครอบครัวรู้สึกอย่างไรกับการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
? ? ? ? ? ?จะเห็นว่า หากบุคลากรทางการแพทย์ให้การประเมินการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างครบถ้วน โดยเฉพาะความตั้งใจและขั้นตอนในการให้นมลูกซึ่งเป็นจุดที่สำคัญ จะทำให้มีข้อมูลที่จะให้คำแนะนำมารดาและครอบครัวได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม
เอกสารอ้างอิง
- The American of Obstetricians and Gynecologist, American Academy of Pediatrics. Breastfeeding handbook for physician. 2nd edition. 2014.
รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์
??????????????? หลังคลอดใหม่ หากทารกร้องเสียงดัง มักแสดงถึงว่าทารกหายใจได้ดี แต่การที่ทารกร้องไห้ จะมีการใช้พลังงานเพิ่มขึ้น และขณะที่ร้องไห้ทารกจะกลืนอากาศเข้าไปมาก ทำให้เสี่ยงต่อการอาเจียน นอกจากนี้ การที่ทารกร้องไห้ยังลดพลังงานสะสมของร่างกายทารกด้วย? ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดภาวะน้ำตาลต่ำ และการเข้าเต้าเพื่อกินนมแม่มีความยากลำบากยิ่งขึ้น เนื่องจากการร้องไห้เป็นอาการที่บ่งบอกว่าทารกหิวในระยะสุดท้าย เมื่อทารกร้องไห้เป็นเวลานาน ทารกจะเหนื่อยและเพลียหลับ โดยที่การกินนมยังทำไม่ได้เต็มที่ ดังนั้น การให้ทารกกินนมบ่อยๆ ตามความต้องการก่อนที่ทารกจะหิวมากจนร้องไห้ ควรปฏิบัติเพื่อป้องกันการใช้พลังงานมากโดยไม่จำเป็นและนมแม่ที่ทารกได้รับจะนำไปสร้างการเจริญเติบโตและพัฒนาการของทารกได้อย่างเต็มที่
เอกสารอ้างอิง
- The American of Obstetricians and Gynecologist, American Academy of Pediatrics. Breastfeeding handbook for physician. 2nd edition. 2014.
รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์
??????????????? มารดาและบุคลากรทางการแพทย์ควรทราบลักษณะการง่วงนอนที่เป็นลักษณะที่ปกติของทารก โดยทั่วไปหลังการคลอดใหม่ๆ ใน 1-2 ชั่วโมงแรก ทารกจะตื่นตัวและเป็นช่วงที่เหมาะสมที่จะเริ่มให้ทารกดูดนมแม่ แต่หลังจากนั้น ทารกจะง่วงหลับและหลับเป็นเวลานาน การปลุกตื่นจะทำได้ไม่ยาก โดยใช้การกระตุ้นในช่วงสั้นๆ เพียงเล็กน้อย ได้แก่ การคลายผ้าที่ห่อตัวทารกออก การนวดเบาๆ การจัดท่าทารกให้อยู่ในท่าลำตัวตั้งตรง การเปลี่ยนผ้าอ้อม การโอบกอดทารกเนื้อแนบเนื้อที่หน้าอกของมารดา ทารกก็จะตื่น โดยการตื่นของทารกในระยะแรกหลังคลอดจะตื่นเป็นช่วงสั้นๆ แต่หากมารดาได้รับยาแก้ปวดกลุ่ม narcotic ระหว่างการคลอด ทารกจะมีการง่วงหลับที่นานกว่า ซึ่งอาจต้องมีการกระตุ้นปลุกทารก หากทารกหลับนานมากกว่า 4 ชั่วโมง
เอกสารอ้างอิง
- The American of Obstetricians and Gynecologist, American Academy of Pediatrics. Breastfeeding handbook for physician. 2nd edition. 2014.
รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์
??????????????? ทารกแต่ละคนจะมีลักษณะหรือรูปแบบการกินนมที่แตกต่างกัน ซึ่งตัวอย่างรูปแบบการกินนมของทารกอาจแบ่งในรายละเอียด ได้ดังนี้
- แบบจริงจัง (Barracuda) ทารกที่กินนมในลักษณะนี้จะอมหัวนมและลานนมพร้อมกับการดูดนมอย่างเต็มที่ 10-20 นาที
- แบบขี้หงุดหงิด (Excited) ทารกจะตื่นตัวและควานหาเต้านม แต่จะหงุดหงิด กระวนกระวาย ร้องไห้ เมื่อไม่มีน้ำนม
- แบบใจเย็น (Procrastinator) ทารกจะคอยจนกระทั่งมีน้ำนมเริ่มไหลมา จึงจะเริ่มดูด แต่เมื่อเริ่มดูดแล้วก็จะดูดได้ดี
- แบบนักชิม (Gourmet) ทารกลักษณะนี้จะใช้ลิ้นตวัดเลียหยดน้ำนมจากหัวนมก่อน แล้วจึงค่อยๆ เริ่มการดูดนม การเร่งเร้าให้ทารกเข้าเต้าและดูดนมอาจทำให้ทารกต่อต้านได้
- แบบช่างพัก (Rester) ทารกจะกินนมสองสามนาที แล้วพักอีกสองสามนาที จึงใช้เวลาในการกินนมนมกว่าทารกปกติทั่วไป
? ? ? ? ? ?จากตัวอย่างที่กล่าวมา จะเห็นว่า หากมารดาทราบลักษณะนิสัยของทารกและจัดการให้นมให้สอดคล้องกับรูปแบบการกินของทารก การให้นมก็จะประสบความสำเร็จด้วยดี
เอกสารอ้างอิง
- The American of Obstetricians and Gynecologist, American Academy of Pediatrics. Breastfeeding handbook for physician. 2nd edition. 2014.
แหล่งความรู้ เกี่ยวกับสูติ-นรีเวช (Obstetrics-Gynecology)