รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์
ในการเปลี่ยนพฤติกรรมนั้น
กระบวนการที่จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจะต้องส่งผลต่อทัศนคติ ซึ่งจะนำไปสู่การปฏิบัติ
โดยมีหลายทฤษฎีที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ได้แก่ การใช้พื้นฐานความรู้เชิงทฤษฏี
(theory-based educational intervention) คือ
การสร้างให้เกิดพฤติกรรมโดยการเปลี่ยนแปลงทัศนคติจากการจัดการอบรมให้ความรู้หรือการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการ
และทฤษฏีการวางแผนการกำหนดพฤติกรรม (theory
of planned behavior) ซึ่งจะมีการกำหนดหรือควบคุมโดยมีการวางแผนให้เกิดพฤติกรรมตามที่ต้องการ
มีการศึกษาพบว่า การใช้พื้นฐานความรู้เชิงทฤษฏีจะช่วยให้มารดามีความตั้งใจ มีความเชื่อมั่น
และมีการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวหกเดือนสูงกว่าการใช้ทฤษฏีการวางแผนการกำหนดพฤติกรรม1 สิ่งนี้น่าจะสะท้อนว่า การรับรู้ความรู้และประโยชน์ของนมแม่นั้นมีความสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ของมารดา
ดังนั้น บุคลากรทางการแพทย์ควรจัดกระบวนการอบรมให้ความรู้แก่มารดา เพื่อช่วยให้มารดามีความเข้าใจในเรื่องนมแม่
มีความตั้งใจ และเชื่อมั่นว่าสามารถการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้ ก็จะส่งผลให้มารดามีพฤติกรรมที่จะนำไปสู่การประสบความสำเร็จในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เพิ่มขึ้น
เอกสารอ้างอิง
1. Chipojola R, Chiu HY, Huda MH, Lin YM, Kuo SY.
Effectiveness of theory-based educational interventions on breastfeeding
self-efficacy and exclusive breastfeeding: A systematic review and
meta-analysis. Int J Nurs Stud 2020;109:103675.
รศ.นพ.ภาวิน
พัวพรพงษ์
โรคไวรัสตับอักเสบบีมาการติดต่อกันได้ง่ายผ่านสารคัดหลั่งต่าง
ๆ จากร่างกายของผู้ที่เป็นพาหะ ซึ่งในมารดาที่เป็นพาหะของไวรัสตับอักเสบบีจะเกิดความวิตกกังวลว่าลูกในครรภ์จะติดเชื้อระหว่างการตั้งครรภ์หรือหลังคลอดหากทารกกินนมแม่จะมีความเสี่ยงในการติดเชื้อเพิ่มขึ้น
แต่ยังโชคดีที่การติดเชื้อในระหว่างการตั้งครรภ์พบได้น้อย ส่วนใหญ่การติดเชื้อจะเกิดขึ้นในช่วงหลังคลอดมากกว่า
และในปัจจุบันมีการพบภูมิคุ้มกันที่ให้ทารกเพื่อป้องกันการติดเชื้อในทารกและมีการฉีดวัคซีนเพื่อกระตุ้นให้ร่างกายทารกสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นเองและส่วนใหญ่หากทารกได้รับการฉีดฉีดวัคซีนครบตามจำนวนที่ต้องการการกระตุ้น
ภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นจะคงอยู่ตลอดชีวิต สำหรับการให้ลูกกินนมแม่จากการทบทวนอย่างเป็นระบบพบว่า
การให้ลูกกินนมแม่จากมารดาที่เป็นภาหะไวรัสตับอักเสบบีนั้น ไม่ได้เพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อของทารกหากทารกได้รับการให้ภูมิคุ้มกันและวัคซีนที่หมาะสม1 จากที่มีหลักฐานเชิงประจักษ์นี้
น่าจะช่วยลดความวิตกกังวลของมารดที่เป็นพาหะของไวรัสตับอักเสบบีที่ต้องการจะให้ลูกได้กินนแม่
เอกสารอ้างอิง
1. Xiao F, Lan A, Mo W. Breastfeeding from mothers
carrying HBV would not increase the risk of HBV infection in infants after
proper immunoprophylaxis. Minerva Pediatr 2020;72:109-15.
รศ.นพ.ภาวิน
พัวพรพงษ์
ประโยชน์ของการกินนมแม่ของทารกที่มีการศึกษาพบเพิ่มเติมได้แก่
ประโยชน์ในเรื่องคุณภาพของกระดูก
โดยมีการศึกษาติดตามทารกที่กินนมแม่จนถึงวัยผู้ใหญ่เทียบกับทารกที่ไม่ได้กินนมแม่พบว่า
เมื่อทารกเจริญเติบโตถึงวัยผู้ใหญ่ ทารกที่กินนมแม่จะมีความเสี่ยงในการเกิดกระดูกหักในกระดูกขาลดลง
ขณะที่ทารกที่มีมารดาสูบบุหรี่ขณะตั้งครรภ์จะมีความเสี่ยงในการเกิดกระดูกหักในกระดูกขาเพิ่มขึ้น1 จะเห็นว่า ปัจจัยในขณะตั้งครรภ์และอาหารในระยะแรกคลอดของทารกจะส่งผลต่อคุณภาพความแข็งแรงของกระดูก
อย่างไรก็ตาม กลไกของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นยังขาดรายละเอียดของคำอธิบาย
จึงควรมีการศึกษาเพิ่มเติมต่อไปในอนาคต
เอกสารอ้างอิง
1. Yang Y, Wu F, Dwyer T, Antony B,
Winzenberg T, Jones G. Associations of Breastfeeding, Maternal Smoking, and
Birth Weight With Bone Density and Microarchitecture in Young Adulthood: a 25-Year
Birth-Cohort Study. J Bone Miner Res 2020.
รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์
อย่างที่เคยเขียนให้ความรู้อยู่บ่อย ๆ ว่า องค์การอนามัยโลกแนะนำให้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวหกเดือน
หลังจากนั้น
นมแม่ก็ยังคงมีประโยชน์แก่มารดาและทารกโดยมีการแนะนำให้มารดาเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ต่อเนื่องร่วมกับการให้อาหารเสริมตามวัยจนถึงสองปีหรือนานกว่านั้น
ขึ้นอยู่กับความต้องการของมารดาและทารก แต่หากมาดูความรู้สึกของนักเรียนแพทย์และนักเรียนพยาบาลที่เห็น
“มารดาเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เกินหนึ่งปี”
ที่มีการศึกษาในสหรัฐอเมริกาโดยถามถึงข้อดีและข้อเสียของการให้มารดาเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เกินหนึ่งปีพบว่า
คำตอบที่ได้ถึงร้อยละ 43 พูดถึงผลเสียแก่มารดาโดยทำให้มารดารู้สึกกดดันและผลเสียที่จะเกิดแก่ทารกคือ
การมีพัฒนาการที่ช้า
ขณะที่คำถามถึงความรู้สึกของนักเรียนแพทย์และนักเรียนพยาบาลต่อการให้มารดาเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เกินหนึ่งปีพบว่า
คำตอบที่ได้ถึงร้อยละ 43
รู้สึกอึดอัดไม่สบายใจกับการที่มารดามีเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เกินหนึ่งปี คำตอบร้อยละ
34 รู้สึกไม่ใช่เรื่องที่ตนเองจะสนใจ แต่จะพบมีเพียงร้อยละ 71
ที่ตอบว่ารู้สึกดีใจและจะให้คำชื่นชมและสนับสนุนแก่มารดา จากข้อมูลนี้จะเห็นว่า
ขนาดนักศึกษาแพทย์และนักศึกษาพยาบาลที่จะจบไปเป็นบุคลากรทางการแพทย์เป็นส่วนใหญ่ยังขาดความรู้ถึงประโยชน์ของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ที่เกินหนึ่งปี
และมีทัศนคติในแง่ลบหรือไม่ใช่เรื่องที่ตนเองจะสนใจรวม ๆ แล้วถึงร้อยละ 77 ดังนั้น
การที่จะเกิดการสนับสนุนให้มารดามีการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เกินหนึ่งปีจำเป็นต้องมีการให้ความรู้ที่เหมาะสมเพิ่มเติมแก่บุคลากรทางการแพทย์
และส่งเสริมให้มีทัศนคติในแง่บวกกับการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เกินหนึ่งปี
เพื่อที่จะนำไปสู่การปฏิบัติตนของบุคลากรทางการแพทย์ที่มีหน้าที่ที่จะสนับสนุนและเพิ่มการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ให้ดีขึ้นกว่าที่มีในปัจจุบัน
เอกสารอ้างอิง
1. Zhuang J, Hitt R, Goldbort J, Gonzalez M, Rodriguez A.
Too Old to Be Breastfed? Examination of Pre-Healthcare Professionals’ Beliefs
About, and Emotional and Behavioral Responses toward Extended Breastfeeding.
Health Commun 2020;35:707-15.
รศ.นพ.ภาวิน
พัวพรพงษ์
การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่มีประโยชน์แก่มารดาและทารกหลายด้าน
ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว สำหรับการป้องกันความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดในระยะยาวได้พบมีการศึกษาในก่อนหน้านี้
แต่เมื่อเร็ว ๆ นี้ได้พบว่า การที่มารดาที่มีภาวะแทรกซ้อนระหว่างการตั้งครรภ์ ได้แก่
เบาหวานและความดันโลหิตสูงระหว่างการตั้งครรภ์ มีทารกในครรภ์เจริญเติบโตช้า มีการคลอดก่อนกำหนด
และมีรกลอกตัวก่อนกำหนดที่มีการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างน้อย 6 เดือนจะช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดในช่วงหกเดือนหลังคลอดได้1 ดังนั้น
การให้ข้อมูลแก่มารดาถึงประโยชน์ที่จะช่วยลดการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดในกลุ่มมารดาที่มีความเสี่ยงสูงจะทำให้มารดาเห็นถึงประโยชน์และความสำคัญของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เพิ่มขึ้น
เอกสารอ้างอิง
1. Yu J, Pudwell J, Dayan N, Smith GN.
Postpartum Breastfeeding and Cardiovascular Risk Assessment in Women Following
Pregnancy Complications. J Womens Health (Larchmt) 2020;29:627-35.
เรื่องนำทาง
แหล่งความรู้ เกี่ยวกับสูติ-นรีเวช (Obstetrics-Gynecology)