เทคนิคการทำให้นมแม่มามาก (ตอนที่ 3)

Mom

รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์

??????????? การดูดนมจนเกลี้ยงเต้า การที่ปล่อยให้มีน้ำนมสะสมอยู่ในเต้านมมาก เชื่อว่าจะมีสารเคมีที่ยับยั้งการสร้างน้ำนมสูงขึ้น ดังนั้นการดูดนมจนเกลี้ยงเต้าจะลดสารเคมีที่ยับยั้งกระบวนการสร้างน้ำนม มารดาจึงต้องกระตุ้นให้ทารกดูดนมจนเกลี้ยงเต้า1,2 หากยังไม่หมดหรือไม่เกลี้ยงเต้า การบีบนมหรือปั๊มนมออกจะช่วยให้นมเกลี้ยงเต้าและสามารถเก็บน้ำนมไว้ป้อนทารกไว้ในช่วงเวลาที่ต้องการได้ เมื่อให้นมแม่ได้เกลี้ยงเต้า การเริ่มให้นมแม่ครั้งต่อไปจะให้โดยเต้านมอีกข้างหนึ่งซึ่งต้องปฏิบัติในลักษณะเดียวกันให้เกลี้ยงเต้า หากปฏิบัติได้ทุกครั้ง การสร้างน้ำนมจะเร็วและได้ปริมาณน้ำนมมากขึ้น หากทารกดูดนมได้น้อยเทคนิคที่ใช้ช่วยในปัญหานี้อาจใช้วิธีให้ทารกดูดจากเต้าก่อนซึ่งอาจดูดได้เพียง 5-10 นาทีจากนั้นบีบนมหรือปั๊มนมออกมาป้อนให้ทารกเพิ่มโดยใช้วิธีป้อนด้วยถ้วยต่อ และเช่นเดียวกันหากน้ำนมในเต้านมยังเหลือต้องบีบหรือปั๊มออกจนเกลี้ยงเต้า ปฏิบัติแบบนี้ไปจนกระทั่งทารกสามารถจะดูดนมได้ด้วยตนเองจนเกลี้ยงเต้า สิ่งนี้จะทำให้ทารกได้นมแม่พอเพียงและมีน้ำหนักขึ้นตามเกณฑ์กำหนด3

สิ่งที่จะเป็นตัวชี้วัดของการที่มีน้ำนมเพียงพอหรือมากพอคือ ทารกที่ได้รับนมแม่อย่างเดียวมีน้ำหนักขึ้นตามเกณฑ์กำหนด ซึ่งมารดาสามารถดูการขึ้นของน้ำหนักทารกที่เหมาะสมได้ในสมุดสุขภาพทารก แต่หากมีความกังวลอาจใช้การเทคนิคการชั่งน้ำหนักทารกก่อนและหลังกินนมแม่ซึ่งน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นนี้จะช่วยให้มารดาลดความกังวลลงได้4,5

หนังสืออ้างอิง

1.???????? Daly SE, Hartmann PE. Infant demand and milk supply. Part 1: Infant demand and milk production in lactating women. J Hum Lact 1995;11:21-6.

2.???????? Daly SE, Hartmann PE. Infant demand and milk supply. Part 2: The short-term control of milk synthesis in lactating women. J Hum Lact 1995;11:27-37.

3.???????? Neifert M, Bunik M. Overcoming clinical barriers to exclusive breastfeeding. Pediatr Clin North Am 2013;60:115-45.

4.???????? Meier PP, Furman LM, Degenhardt M. Increased lactation risk for late preterm infants and mothers: evidence and management strategies to protect breastfeeding. J Midwifery Womens Health 2007;52:579-87.

5.???????? Neifert MR. Prevention of breastfeeding tragedies. Pediatr Clin North Am 2001;48:273-97.