การให้การวินิจฉัยโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์

รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์

          การวินิจฉัย นิยมทำเป็นสองขั้นตอน ได้แก่ การตรวจคัดกรองด้วยการรับประทานน้ำตาล 50 กรัมแล้วทำการตรวจค่าน้ำตาลในพลาสม่า (glucose challenge test หรือ GCT) ค่าการตรวจคัดกรองที่ถือว่าเป็นบวกเมื่อมีค่า 140 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรขึ้นไป และตรวจวินิจฉัยต่อด้วยการตรวจทดสอบค่าความทนต่อน้ำตาล (oral glucose tolerance test หรือ OGTT) หลังรับประทานน้ำตาล 100 กรัม โดยใช้เกณฑ์ของกลุ่มข้อมูลเบาหวานแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (National Diabetes Data Group) ซึ่งกำหนดค่าน้ำตาลในพลาสม่าก่อนการกินน้ำตาลเท่ากับ 105 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร และค่าน้ำตาลในพลาสม่าหลังกินน้ำตาลที่ชั่วโมงที่ 1,2 และ 3 เท่ากับ 190,165 และ 145 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ตามลำดับ โดยหากค่าผิดปกติตั้งแต่ 2 ค่าขึ้นไปถือว่า การทดสอบเป็นบวกคือเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ อย่างไรก็ตาม มีบางข้อแนะนำที่ให้ใช้ค่าผิดปกติเพียง 1 ค่าให้ถือว่าการทดสอบเป็นบวก ซึ่งการใช้เกณฑ์นี้ยังมีจำกัดเฉพาะในบางแห่ง1

เอกสารอ้างอิง

  1. Committee on Practice B-O. ACOG Practice Bulletin No. 190: Gestational Diabetes Mellitus. Obstet Gynecol 2018;131:e49-e64.

 

ปัจจัยเสี่ยงของโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์

รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์

การทราบปัจจัยเสี่ยงในมารดาต่อการเกิดเบาหวานขณะตั้งครรภ์จะทำให้การวางแผนการตรวจคัดกรองโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ได้อย่างเหมาะสม สำหรับปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ ได้แก่

• การมีประวัติครอบครัวเป็นเบาหวานโดยเฉพาะญาติที่มีความใกล้ชิด (first-degree relatives)
• ประวัติการเสียชีวิตของทารกในช่วงแรกคลอด
• ประวัติคลอดทารกที่มีความพิการ
• ประวัติการคลอดทารกแรกเกิดตัวโต (macrosomia) ซึ่งหมายถึงทารกแรกเกิดที่มีน้ำหนักมากกว่า 4000 กรัม
• มีโรคประจำตัวเป็นความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด กลุ่มอาการเมตาบอลิก กลุ่มอาการถุงน้ำจำนวนมากในรังไข่ (polycystic ovarian syndrome)
• มารดาอายุมาก
• เชื้อชาติเอเชียนอเมริกัน
• อ้วน
• การมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นระหว่างการตั้งครรภ์มากเกินไป
• การตรวจพบมีน้ำตาลในปัสสาวะ ตรวจพบค่า Hb A1c สูงตั้งแต่ร้อยละ 5.7 ขึ้นไป
• ตรวจพบค่า High-density lipoprotein cholesterol (HDL) ต่ำกว่า 35 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร หรือค่าไตรกลีเซอไรด์ (Triglyceride) มากกว่า 250 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร(1,2)

เอกสารอ้างอิง
1. Gibson KS, Waters TP, Catalano PM. Maternal weight gain in women who develop gestational diabetes mellitus. Obstet Gynecol 2012;119:560-5.
2. Committee on Practice B-O. ACOG Practice Bulletin No. 190: Gestational Diabetes Mellitus. Obstet Gynecol 2018;131:e49-e64.

 

เบาหวานขณะตั้งครรภ์เกิดจากอะไร

รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์

                โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์เป็นภาวะที่ร่างกายมีความผิดปกติในการนำแป้งและน้ำตาลมาใช้ ซึ่งหากได้รับการวินิจฉัยครั้งแรกหรือเป็นรายใหม่ในขณะตั้งครรภ์ จะถือว่าเป็นโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์1  สาเหตุของการเกิดโรคนี้ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อว่าในระหว่างการตั้งครรภ์จะมีการเพิ่มระดับของฮอร์โมนหลายตัวที่จะมีผลต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในกระแสเลือด ซึ่งพบมีผลมากในช่วงของการตั้งครรภ์ในไตรมาสที่สองและสาม โดยหากมารดามีแนวโน้มที่จะมีความผิดปกติในการนำแป้งและน้ำตาลมาใช้ จะทำให้พบระดับน้ำตาลในเลือดสูงได้

เอกสารอ้างอิง

  1. Jirakittidul P, Panichyawat N, Chotrungrote B, Mala A. Prevalence and associated factors of breastfeeding in women with gestational diabetes in a University Hospital in Thailand. Int Breastfeed J 2019;14:34.

เบาหวานและการแบ่งชนิดของเบาหวานในระหว่างการตั้งครรภ์

รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์

              ปัจจุบันมีการพบอุบัติการณ์ของโรคอ้วนในเด็กและวัยรุ่นสูงขึ้น ซึ่งอุบัติการณ์ของโรคอ้วนนี้คู่ขนานไปกับอุบัติการณ์การเกิดเบาหวาน โดยพฤติกรรมการกินและรูปแบบการดำเนินชีวิตที่เปลี่ยนไป ได้แก่ รับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสมเพิ่มขึ้น ขณะที่มีการเคลื่อนไหวร่างกายหรือออกกำลังกายลดลง ดังนั้น เบาหวานจึงเป็นอีกโรคหนึ่งที่มีแนวโน้มจะมีอุบัติการณ์ที่สูงขึ้นในหญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร1

โรคเบาหวานที่พบในหญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร แบ่งเป็น

  • โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ (gestational diabetes mellitus)
  • โรคเบาหวานที่มีมาก่อนตั้งครรภ์ (pre-existing diabetes mellitus)
    • โรคเบาหวานชนิดที่ 1 (type 1 diabetes mellitus)
    • โรคเบาหวานชนิดที่ 2 (type 2 diabetes mellitus)

เอกสารอ้างอิง

  1. Guariguata L, Linnenkamp U, Beagley J, Whiting DR, Cho NH. Global estimates of the prevalence of hyperglycaemia in pregnancy. Diabetes Res Clin Pract 2014;103:176-85.

ผลของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ที่มีต่อภาวะแทรกซ้อนของโรคความดันโลหิตสูงของทารก

รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์

                การที่ทารกได้กินนมแม่จะมีผลป้องกันการเกิดความดันโลหิตสูงเมื่อทารกเจริญเติบโตขึ้น โดยการกินนมแม่จะช่วยป้องกันความดันโลหิตขึ้นสูงในเด็กอายุ 7 ปี1 ช่วยป้องกันการเกิดไขมันในเลือดสูงเมื่อทารกเจริญเติบโตขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากทารกกินนมแม่อย่างเดียว2 ช่วยป้องกันการเกิดกลุ่มอาการเมตาบอลิก3 โดยการป้องกันกลุ่มอาการนี้ อธิบายจากการตั้งโปรแกรมการเผาพลาญอาหารจากอาหารที่ทารกได้รับในระยะแรกหลังคลอด ซึ่งเป็นกลไกการควบคุมเหนือพันธุกรรม4 นอกจากนี้ ยังพบว่า การให้ทารกได้กินนมแม่ช่วยลดค่าความดันโลหิตและป้องกันโรคความดันโลหิตสูงที่สัมพันธ์กับอากาศที่เป็นพิษ (air pollution) ด้วย5

              สำหรับพัฒนาการทางด้านการเรียนรู้และการเคลื่อนไหว ทารกที่กินนมแม่อย่างเดียวนาน 4 เดือนพบว่ามีการสื่อสารและการปฏิสัมพันธ์กับสังคมในช่วงขวบปีแรกดีกว่า6 มีความฉลาดสูงกว่า โดยเปรียบเทียบการวัดคะแนนการเรียนรู้ของทารกที่อายุ 8 ปีครึ่งและ 11 ปีครึ่งพบว่า ทารกที่คลอดครบกำหนดและคลอดก่อนกำหนดที่กินนมแม่นานกว่าจะมีคะแนนด้านการเรียนรู้สูงกว่า7 และทารกที่กินนมแม่จะมีพัฒนาการด้านการเคลื่อนไหวโดยทั่วไปในช่วงวัยเด็กตอนปลายและช่วงวัยรุ่นดีกว่า8,9

               จะเห็นว่าการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่จะส่งผลช่วยลดปัญหาหรือภาวะแทรกซ้อนในระยะยาวที่เป็นผลมาจากโรคความดันโลหิตสูงของมารดาทั้งโรคความดันโลหิตสูงที่ถูกชักนำโดยการตั้งครรภ์ และความดันโลหิตสูงเรื้อรัง ดังนั้น นอกจากจะให้คำแนะนำในเรื่องการปฏิบัติตัวและเปลี่ยนแปลงรูปแบบการดำเนินชีวิต เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดโรคความดันโลหิตสูงและภาวะแทรกซ้อนของโรคนี้เมื่อมารดามีอายุมากขึ้นแล้ว การแนะนำให้มารดาเลี้ยงลูกด้วยนมแม่น่าจะเป็นวิธีทางหนึ่งที่จะช่วยลดความเสี่ยงนี้ได้10

เอกสารอ้างอิง

  1. Hosaka M, Asayama K, Staessen JA, et al. Breastfeeding leads to lower blood pressure in 7-year-old Japanese children: Tohoku Study of Child Development. Hypertens Res 2013;36:117-22.
  2. Owen CG, Whincup PH, Kaye SJ, et al. Does initial breastfeeding lead to lower blood cholesterol in adult life? A quantitative review of the evidence. Am J Clin Nutr 2008;88:305-14.
  3. Vandyousefi S, Goran MI, Gunderson EP, et al. Association of breastfeeding and gestational diabetes mellitus with the prevalence of prediabetes and the metabolic syndrome in offspring of Hispanic mothers. Pediatr Obes 2019;14:e12515.
  4. Pauwels S, Symons L, Vanautgaerden EL, et al. The Influence of the Duration of Breastfeeding on the Infant’s Metabolic Epigenome. Nutrients 2019;11.
  5. Dong GH, Qian ZM, Trevathan E, et al. Air pollution associated hypertension and increased blood pressure may be reduced by breastfeeding in Chinese children: the Seven Northeastern Cities Chinese Children’s Study. Int J Cardiol 2014;176:956-61.
  6. Choi HJ, Kang SK, Chung MR. The relationship between exclusive breastfeeding and infant development: A 6- and 12-month follow-up study. Early Hum Dev 2018;127:42-7.
  7. Daniels MC, Adair LS. Breast-feeding influences cognitive development in Filipino children. J Nutr 2005;135:2589-95.
  8. Grace T, Oddy W, Bulsara M, Hands B. Breastfeeding and motor development: A longitudinal cohort study. Hum Mov Sci 2017;51:9-16.
  9. Bouwstra H, Boersma ER, Boehm G, Dijck-Brouwer DA, Muskiet FA, Hadders-Algra M. Exclusive breastfeeding of healthy term infants for at least 6 weeks improves neurological condition. J Nutr 2003;133:4243-5.
  10. Demirci J, Schmella M, Glasser M, Bodnar L, Himes KP. Delayed Lactogenesis II and potential utility of antenatal milk expression in women developing late-onset preeclampsia: a case series. BMC Pregnancy Childbirth 2018;18:68.

 

 

แหล่งความรู้ เกี่ยวกับสูติ-นรีเวช (Obstetrics-Gynecology)