รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์
??????????? ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ได้พัฒนาเครื่องมือที่ใช้ช่วยวินิจฉัยภาวะลิ้นติดของทารก โดยบอกถึงความรุนแรงของภาวะลิ้นติดได้ ซึ่งในทารกที่มีภาวะลิ้นติดปานกลางและรุนแรง ส่วนใหญ่จะมีการเข้าเต้าลำบากและทำให้มารดาเจ็บหัวนมขณะให้ทารกดูดนม1 การใช้ เครื่องมือที่มีชื่อว่า ?MED SWU TONGUE-TIE DIRECTOR? วัดและให้การวินิจฉัยจะช่วยแพทย์ในการตัดสินใจในการให้การรักษา โดยที่การรักษาทำโดยการตัดพังผืดใต้ลิ้น สามารถทำที่ห้องตรวจผู้ป่วยนอก และหลังทำทารกสามารถดูดนมแม่ได้เลย ซึ่งเครื่องมือ MED SWU TONGUE-TIE DIRECTOR นอกจากจะช่วยในการวินิจฉัยแล้ว ยังช่วยในการตัดพังผืดรักษาด้วย ทำให้มีความสะดวกและแม่นยำในการให้การวินิจฉัยและให้การรักษามากขึ้น
เอกสารอ้างอิง
Puapornpong P, Raungrongmorakot K, Mahasitthiwat V, Ketsuwan S. Comparisons of the latching on between newborns with tongue-tie and normal newborns. J Med Assoc Thai 2014;97:255-9.
รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์
??????????? การเจ็บหัวนมแม้เป็นสิ่งที่พบได้บ่อยและมีสาเหตุได้หลากหลาย แต่สาเหตุหนึ่งที่สำคัญคือ การที่ทารกมีภาวะลิ้นติด การที่ทารกมีพังผืดใต้ลิ้นติดมาถึงหรือใกล้กับส่วนปลายลิ้น1 แล้วมีผลทำให้การเคลื่อนไหวของลิ้นออกมาข้างหน้าทำได้ไม่ดี จะมีผลต่อกระบวนการการดูดนมแม่จากเต้านมของมารดา ซึ่งจะทำให้ทารกออกแรงในการดูดนมมากขึ้นและทำให้เกิดการเจ็บหัวนม โดยที่การเจ็บหัวนมของมารดา หากไม่ได้รับการดูแลที่เหมาะสม อาจทำให้มารดาหยุดการให้ลูกกินนมแม่ หรืออาจเกิดบาดแผลบริเวณหัวนม และเกิดภาวะแทรกซ้อนของเต้านมอักเสบและฝีที่เต้านมได้ อุบัติการณ์ของภาวะลิ้นตัดในทารกของไทยพบราวร้อยละ 13 โดยพบทารกที่มีภาวะลิ้นติดปานกลางถึงรุนแรงประมาณครึ่งหนึ่งของทั้งหมดคือราวร้อยละ 6-7 2 ซึ่งทารกเหล่านี้ หากได้รับการแก้ไขภาวะลิ้นติดตั้งแต่ในระยะแรกหลังคลอดจะลดการปัญหาการเกิดการเจ็บหัวนมของมารดาที่ต่อเนื่องจนกระทั่งหยุดการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้
เอกสารอ้างอิง
Kotlow LA. Ankyloglossia (tongue-tie): a diagnostic and treatment quandary. Quintessence Int 1999;30:259-62.
Puapornpong P, Raungrongmorakot K, Mahasitthiwat V, Ketsuwan S. Comparisons of the latching on between newborns with tongue-tie and normal newborns. J Med Assoc Thai 2014;97:255-9.
รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์
??????????? การเจ็บหัวนมขณะที่มารดาให้นมบุตรนั้น เป็นสิ่งที่พบได้บ่อยในช่วงสัปดาห์แรกหลังคลอด1 ?สาเหตุมีได้หลายประการ ตั้งแต่ การจัดท่าเข้าเต้าและให้นมลูกไม่เหมาะสม การที่ทารกมีภาวะลิ้นติด การที่มารดามีน้ำนมไหลมากเกินไป การเกิดบาดแผลบริเวณหัวนม การติดเชื้อราหรือเชื้อแบคทีเรีย หัวนมและเต้านมอักเสบ และการขาดเลือดบริเวณหัวนม ซึ่งตามปกติในมารดาทั่วไปครรภ์แรกที่เริ่มให้ลูกกินนมใหม่ๆ อาจจะมีอาการเจ็บที่หัวนมได้บ้าง แต่อาการเหล่านี้มักหายไปในสองสามวันแรกหลังการให้ลูกกินนม แต่หากอาการเจ็บหัวนมยังคงมีต่อเนื่องไปจนถึง 7 วันหรือหนึ่งสัปดาห์2 บุคลากรทางการแพทย์ควรหาสาเหตุที่แน่ชัด เพื่อแก้ปัญหาอาการเจ็บหัวนมที่ยังเป็นหนึ่งในสาเหตุที่สำคัญในการหยุดการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ก่อนเวลาที่ควร โดยหากให้การดูแลรักษาตั้งแต่อย่างเหมาะสมตั้งแต่ในระยะแรกแล้ว อาการมักหายใน 1-2 สัปดาห์ และไม่มีผลกระทบต่ออัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
เอกสารอ้างอิง
Morland-Schultz K, Hill PD. Prevention of and therapies for nipple pain: a systematic review. J Obstet Gynecol Neonatal Nurs 2005;34:428-37.
Buck ML, Amir LH, Cullinane M, Donath SM, Team CS. Nipple pain, damage, and vasospasm in the first 8 weeks postpartum. Breastfeed Med 2014;9:56-62.
รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์
??????????? ท่าที่นิยมใช้ในการให้นมลูกนั้น ได้แก่ ท่าขวางตัก ท่าขวางตักประยุกต์ ท่าฟุตบอล และท่านอนตะแคง โดยในระยะหลังมีการกล่าวถึงท่าเอนหลัง (laid-back) ซึ่งมีรายงานว่าอาจจะช่วยให้การเริ่มการให้นมลูกทำได้ดีขึ้น1-4 อย่างไรก็ตาม ท่าที่ให้นมลูก หากมารดามีการจัดท่าที่เหมาะสม จะทำให้การเข้าเต้าดีและช่วยลดปัญหาในการเจ็บเต้านมและภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ได้ ท่าแต่ละท่าอาจมีความเหมาะสมในกลุ่มมารดาที่แตกต่างกัน ดังนั้น ในทางปฏิบัติ แนะนำให้บุคลากรทางการแพทย์สอนท่าให้นมลูกแก่มารดาอย่างน้อยสองท่าขึ้นไป5 ซึ่งมารดาอาจทดลองใช้ท่าแต่ละท่า และอาจเลือกใช้ท่าที่ชอบหรือเหมาะสมกับตนเอง สิ่งนี้น่าจะช่วยให้มารดาเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ด้วยความสบายและพึงพอใจ และอาจให้นมลูกได้ในระยะเวลาที่ยาวนานขึ้น
เอกสารอ้างอิง
Colson S. Maternal breastfeeding positions: have we got it right? (2). Pract Midwife 2005;8:29-32.
Colson S. Cuddles, biological nurturing, exclusive breastfeeding and public health. J R Soc Promot Health 2003;123:76-7.
Colson SD, Meek JH, Hawdon JM. Optimal positions for the release of primitive neonatal reflexes stimulating breastfeeding. Early Hum Dev 2008;84:441-9.
Colson S. Biological Nurturing: the laid-back breastfeeding revolution. Midwifery Today Int Midwife 2012:9-11, 66.
Puapornpong P, Raungrongmorakot K, Manolerdtewan W, Ketsuwan S, Sinutchanan W. The Number of Infant Feeding Positions and the 6-Month Exclusive Breastfeeding Rates. J Med Assoc Thai 2015;98:1075-81.
รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์
??????????? ยาที่ใช้ในปัจจุบันมีมากมายและหลากหลายหมวดหมู่ ดังนั้น หากมารดาต้องใช้ยาใดๆ ระหว่างการให้นมแม่ หากเป็นยาที่แพทย์คุ้นเคยหรือใช้บ่อย แพทย์จะสามารถให้ข้อมูล ความเสี่ยง และอันตรายที่อาจพบในทารกที่กินนมแม่ขณะที่มารดารับประทานยา อย่างไรก็ตาม บางครั้ง ยาบางตัวที่มีการใช้น้อย หรือเป็นยาเฉพาะโรคบางอย่าง แพทย์อาจต้องค้นคว้าหาข้อมูลว่ามารดาจะให้นมลูกได้หรือไม่ ซึ่ง application ? LactMed ? ที่มีใน Play store และใน App storeสามารถช่วยในการตัดสินใจได้ โดยกรอกข้อมูลชื่อยาลงไป แล้วกดค้นหา จะพบรายงานข้อมูลที่มีการใช้ยาในระหว่างการให้นมแม่ รายงานนั้นจะมีรายละเอียดข้อมูลจำนวนทารกที่ได้รับยา ขนาดของยาที่ใช้ ชนิดของความผิดปกติ ข้อมูลเหล่านี้ หากแพทย์ได้อธิบายให้มารดาและครอบครัวเข้าใจ เทียบข้อดีข้อเสียจากการใช้ยา ความจำเป็น ทางเลือกอื่นๆ หากมี จะเป็นประโยชน์ในการตัดสินใจในการตัดสินใจเลือกใช้ยาอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ข้อมูลเหล่านี้ยังมีข้อจำกัด เนื่องจากเป็นภาษาอังกฤษ และคำบางคำที่ใช้ยังเป็นศัพท์แพทย์ ซึ่งอาจอ่านแล้วเข้าใจยาก ?หากมีข้อสงสัยในการอ่านข้อมูลแล้วไม่เข้าใจ ควรพิมพ์ข้อมูลที่ได้มาปรึกษาแพทย์
เรื่องนำทาง
แหล่งความรู้ เกี่ยวกับสูติ-นรีเวช (Obstetrics-Gynecology)