รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์
โดยทั่วไปนมแม่มักจะมีเพียงพอสำหรับทารก ดังนั้นจึงมักไม่มีความจำเป็นในการที่จะเพิ่มน้ำนมแม่ อย่างไรก็ตาม ในการศึกษาต่าง ๆ หลายการศึกษามีความพยายามจะหาตัวยาหรือสมุนไพรที่จะช่วยเพิ่มน้ำนมแม่ ซึ่งสมุนไพรที่น่าจะช่วยเพิ่มปริมาณน้ำนมก็มีหลายตัว ทั้งสมุนไพรที่มีรากฐานมาจากประเทศแถบตะวันตก เช่น Fenugreek, Chamomile, Silymarin และ galega และสมุนไพรจากประเทศทางตะวันออก ซึ่งในประเทศไทยมีการศึกษาของคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒพบว่า การให้ขิงที่ผลิตในรูปแคปซูลแก่มารดาหลังคลอดสามารถเพิ่มน้ำนมแม่ในสัปดาห์แรกได้1 และมีการศึกษาของคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า การให้สมุนไพรผสมระหว่าง Fenugreek ขิง และขมิ้นแก่มารดาหลังคลอดสามารถเพิ่มปริมาณน้ำนมได้ดีเริ่มในสัปดาห์ที่สองจนถึงหนึ่งเดือนหลังคลอด2 แม้ความรู้เชิงวิชาการนี้มีความสำคัญ แต่การนำมาปรับใข้ในสภาพชีวิตประจำวันยังมีความลำบาก เนื่องจากในการศึกษาส่วนใหญ่จะเป็นขิงผงแห้ง ขณะที่ในอาหารที่รับประทานจะเป็นขิงสด ซึ่งการคำนวณปริมาณสารที่ออกฤทธิ์เทียบเคียงกันยาก และยังมีความหลายหลากของปริมาณสารออกฤทธิ์ที่อาจแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ที่ปลูก แต่ก็ต้องถือว่าโชคดี ที่ปริมาณของขิงที่นำมาปรุงเป็นอาหารส่วนใหญ่แล้วมักจะมีปริมาณที่สูงกว่าขิงแคปซูลที่ทำการศึกษา ดังนั้น ข้อแนะนำสำหรับการใช้อาหารเพื่อเพิ่มปริมาณน้ำนม การกินอาหารไทยที่มีส่วนประกอบของขิงวันละ 1-2 ครั้งต่อวันน่าจะช่วยเรื่องปริมาณน้ำนมได้
เอกสารอ้างอิง
Paritakul P, Ruangrongmorakot K, Laosooksathit W, Suksamarnwong M, Puapornpong P. The Effect of Ginger on Breast Milk Volume in the Early Postpartum Period: A Randomized, Double-Blind Controlled Trial. Breastfeed Med 2016;11:361-5.
Bumrungpert A, Somboonpanyakul P, Pavadhgul P, Thaninthranon S. Effects of Fenugreek, Ginger, and Turmeric Supplementation on Human Milk Volume and Nutrient Content in Breastfeeding Mothers: A Randomized Double-Blind Controlled Trial. Breastfeed Med 2018.
รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์
การให้ความรู้แก่มารดาในเรื่องการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่มีประโยชน์ในการช่วยสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ แต่ยังวมีรูปแบบการให้ความรู้ที่น่าสนใจอีกแบบหนึ่ง คือ การให้คำปรึกษาแนวคิดทางปัญญา (cognitive counselling) ซึ่งมีรายงานการศึกษาว่าสามารถช่วยปรับความคิดและพฤติกรรมของผู้ที่ได้รับการให้คำปรึกษาได้ มีการนำการให้คำปรึกษาแนวคิดทางปัญญามาใช้ในการสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่โดยให้คำปรึกษามารดาในระหว่างตั้งครรภ์ในช่วงไตรมาสที่สาม ซึ่งมีการเลือกใช้คะแนนการเข้าเต้า (LATCH score) เป็นตัวชี้วัดการประสบความสำเร็จของการให้คำปรึกษา ผลการศึกษาพบว่า มารดาที่ได้รับการให้คำปรึกษาแนวคิดทางปัญญาสามารถเข้าเต้าได้ดีกว่ามารดาที่ได้รับการให้ความรู้ตามปกติ 1 ซึ่งคำอธิบายอาจเป็นเนื่องจากกระบวนการการให้คำปรึกษาแนวคิดทางปัญญานั้น ได้มีกระบวนการให้มารดาได้คิดวิเคราะห์เหตุผลและหาคำตอบด้วยตนเอง เมื่อได้คำตอบที่ผ่านการคิดวิเคราะห์ของตนเองมาแล้ว ทัศนคติหรือการปฏิบัติก็จะมีการปรับเปลี่ยนตามความคิดที่ได้ข้อสรุปแล้ว เมื่อนำมาใช้ในการสนับสนุนเรื่องการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ จึงพบว่าสามารถส่งเสริมให้มารดามีพฤติกรรมการเข้าเต้าได้ดีขึ้น
เอกสารอ้างอิง
Sreekumar K, D’Lima A, Silveira MP, Gaonkar R. Cognitive Breastfeeding Counseling: A Single Session Helps Improve LATCH Score. J Perinat Educ 2018;27:148-51.
รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์
ประโยชน์ของนมแม่มีทั้งด้านมารดาและทารก สำหรับประโยชน์หนึ่งที่น่าสนใจคือ การลดการเสียชีวิตของทารกเฉียบพลันโดยไม่ทราบสาเหตุ (infant sudden death syndrome หรือ SIDS)1 แม้ว่าสาเหตุของการเสียชีวิตของทารกจะยังไม่ทราบสาเหตุที่น่าชัด แต่ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่พยายามป้องกันความเสี่ยงที่จะเกิดแก่ทารกโดยแนะนำลักษณะการนอนของทารกที่เหมาะสม ในต่างประเทศโดยทั่วไปในสมัยก่อนมักให้ทารกนอนตะแคงหรือนอนคว่ำ ซึ่งการนอนตะแคงหรือนอนคว่ำของทารกจะทำให้ศีรษะทารกโหนกนูน ไม่แบน ซึ่งลักษณะของศีรษะเช่นนี้เป็นที่นิยมในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม การนอนตะแคงหรือนอนคว่ำของทารกมักมีความเสี่ยงจากขาดอากาศหายใจจากการพลิกคว่ำหน้าของทารก ปัจจุบันจะแนะนำให้ทารกนอนหงายเพื่อลดความเสี่ยงของการเสียชีวิตจากสาเหตุนี้ นอกเหนือจากนี้ ลักษณะของหมอนและที่นอนที่ใช้ในทารกควรเหมาะสม ไม่นุ่มจนเกินไป และที่นอนไม่ควรมีร่องหรือหลุมที่ทารกจะตกลงไปได้ สำหรับการนอนร่วมเตียงกับมารดาเพื่อส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ควรมีพื้นที่ที่กว้างพอและลักษณะที่นอนควรมีความปลอดภัยในลักษณะเดียวกัน หากย้อนไปดูประวัติศาสตร์ของไทยในสมัยก่อน จะให้ทารกนอนหงาย และใช้เบาะรองทารก ซึ่งเบาะที่ใช้รองรับทารกนี้จะนุ่ม ซึ่งทารกจะพลิกไม่ได้ ความเสี่ยงของการเกิดการเสียชีวิตจากการขาดอากาศหายใจจากการคว่ำหน้าของทารกน้อย แต่จะพบว่าทารกเมื่อทารกโตขึ้นจะมีศีรษะแบน ซึ่งไม่เป็นที่นิยม เมื่อค่านิยมของลักษณะศีรษะที่โหนกนูนจากต่างประเทศแพร่เข้ามา การจัดท่านอนของทารกของคนไทยจึงเปลี่ยนแปลงไปตามแบบตะวันตก ดังนั้น ความสำคัญในเรื่องนี้คงต้องคิดและพิจารณาว่า “ ความปลอดภัยของทารกน่าจะต้องมาก่อนความชอบหรือค่านิยม ”
เอกสารอ้างอิง
Ward TCS, Kanu FA, Anderson AK. Trends and Factors Associated with Breastfeeding and Infant Sleep Practices in Georgia. J Commun Health 2018;43:496-507.
รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์
ความเชื่อและค่านิยมของคนในสังคมส่งผลต่อการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เพื่อนบ้านก็เป็นส่วนหนึ่งของสังคมและยังมีความใกล้ชิดกับครอบครัวมากกว่าครอบครัวอื่นที่อยู่ห่างไกล เมื่อบ้านติดกัน การปฏิบัติของเพื่อนบ้านในช่วงหลังคลอดในเรื่องการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่จึงมีอิทธพลต่อการให้นมลูกของมารดา มีการศึกษาถึงลักษณะของเพื่อนบ้านว่ามีผลต่อการให้นมลูกของมารดาหลังจากกลับจากโรงพยาบาลหรือไม่ พบว่าลักษณะของเพื่อนบ้านที่มีเศรษฐานะดีจะช่วยสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ขณะที่เพื่อนบ้านที่มีเศรษฐานะไม่ดีจะส่งผลเสียแก่การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ นอกจากนี้ในการศึกษานี้ยังพบว่า เชื้อชาติของเพื่อนบ้านยังมีผลต่อการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ของมารดาด้วย1 สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่า ปัจจัยทางสังคมที่ใกล้ชิดกับครอบครัวมีความสำคัญ การสนับสนุนให้เกิดชุมชนต้นแบบที่อาจเรียกว่า “ชุมชนนมแม่” จะช่วยสร้างเครือข่ายที่สนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในชุมชนโดยการสร้างเพื่อนบ้านที่มีทัศนคติที่ดีต่อการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่นั่นเอง
เอกสารอ้างอิง
Yourkavitch J, Kane JB, Miles G. Neighborhood Disadvantage and Neighborhood Affluence: Associations with Breastfeeding Practices in Urban Areas. Matern Child Hlth J 2018;22:546-55.
รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์
การใช้ยาในระหว่างการให้นมลูกมักก่อให้เกิดคำถามแก่มารดาและครอบครัวในเรื่องความปลอดภัยหรืออันตรายที่จะเกิดขึ้นจากการใช้ยา1 แม้ว่ายาส่วนใหญ่สามารถใช้ได้อย่างปลอดภัยในระหว่างการให้นมลูก แต่เนื่องจากปัจจุบันชนิดของยามีหลากหลาย ยาบางตัวเป็นยาใหม่ ข้อมูลอาจมีจำกัด สิ่งเหล่านี้อาจทำให้มารดาเกิดความวิตกกังวลในการใช้ยาในระหว่างการให้นมบุตรได้ อีกสิ่งหนึ่งที่อาจพบเป็นข้อจำกัดในการจะเข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับยาที่ใช้ในระหว่างให้นมบุตร คือ ข้อมูลที่มีอยู่จะเป็นข้อมูลทางการแพทย์ ใช้ภาษาที่เป็นศัพท์เทคนิค และเป็นภาษาอังกฤษ ดังนั้น การจัดการข้อมูลความรู้เหล่านี้ให้ง่ายแก่มารดาในแต่ละระดับความรู้ ควรมีการศึกษาและเลือกการใช้สื่อความรู้ให้หลากหลายเพื่อจะได้เหมาะกับจริตของมารดาและครอบครัวที่มีหลากหลายเช่นกัน การสร้างสื่อความรู้ที่เหมาะสมนี้ต้องการความร่วมมือของบุคลากรทางการแพทย์และบุคลากรในสาขาที่เกี่ยวข้อง ซึ่งในระหว่างการนำมาใช้ ควรมีการประเมินคุณภาพสื่อ การรับรู้ และความพึงพอใจในสื่อความรู้ เพื่อให้สื่อที่ออกมาสามารถแก้ไขข้อจำกัดที่เป็นอุปสรรคและมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องได้
เอกสารอ้างอิง
Stephens A, Brodribb W, McGuire T, Deckx L. Breastfeeding questions to medicines call centres from the Australian public and health professionals. Aust J Prim Health 2018.
เรื่องนำทาง
แหล่งความรู้ เกี่ยวกับสูติ-นรีเวช (Obstetrics-Gynecology)