รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์
ความรู้และเทคโนโลยีในการรักษาพยาบาลในปัจจุบันจะมีความก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้น ข้อมูลที่เคยใช้แนะนำมารดาและทารกในอดีต ปัจจุบันอาจมีการเปลี่ยนแปลง แม้ว่าบุคลากรทางการแพทย์ที่เคยผ่านการอบรมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่มาตรฐานมาแล้ว ก็ควรมีการอบรมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างต่อเนื่องเพื่อรับข้อมูลข่าวสารที่ทันสมัยอย่างน้อยทุก 3 ปี มีตัวอย่างการศึกษาถึงความรู้ ทัศนคติ และการปฏิบัติในการดูแลการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ของบุคลากรที่ดูแลเรื่องการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ที่แผนกผู้ป่วยนอกทารกสุขภาพดี (well baby clinic) ในเม็กซิโกพบว่า บุคลากรส่วนใหญ่ยังขาดความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับการดูแลปัญหาเกียวกับการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ทัศนคติและการปฏิบัติที่เอาใจใส่ในการสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่น้อย โดยพบบุคลากรทางการแพทย์เพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้นที่ได้รับการอบรมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างต่อเนื่องภายใน 3 ปี1 สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นความสำคัญของการศึกษาต่อเนื่องของบุคลากรที่ผู้บริหารโรงพยาบาลควรเอาใจใส่ เพราะสมรรณะ (competency) ของบุคลากรเป็นสิ่งที่จะช่วยให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีของการรักษาพยาบาลและปัจจัยนี้ยังเป็นหนึ่งในปัจจัยพื้นฐานของความสำเร็จในการพัฒนาคุณภาพโรงพยาบาลด้วย
เอกสารอ้างอิง
Ramos MM, Sebastian RA, Sebesta E, McConnell AE, McKinney CR. Missed Opportunities in the Outpatient Pediatric Setting to Support Breastfeeding: Results From a Mixed-Methods Study. J Pediatr Health Care 2019;33:64-71.
รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์
ปัจจุบันการดูแลรักษาโรคหรือภาวะผิดปกติต่าง ๆ มักอาศัยความร่วมมือของแพทย์ในหลากหลายสาขาหรือที่เรียกว่า สหสาขา ซึ่งไม่เว้นในเรื่องของการสนับสน นการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ โดยทั่วไปแพทย์ที่มักเกี่ยวข้องกับการสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ได้แก่ สูติแพทย์ กุมารแพทย์ แพทย์เวชปฏิบัติทั่วไป แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว และแพทย์เวชศาสตร์ชุมชน นอกจากนี้ยังมีแพทย์เฉพาะด้านในกรณีที่มีปัญหาเฉพาะ ได้แก่ ทารกที่มีภาวะลิ้นติด แพทย์ที่ร่วมดูแลอาจเป็นกุมารศัลยแพทย์ ทันตแพทย์ หรือแพทย์โสต ศอ นาสิก และลาริงซ์วิทยา แต่ปัญหาหรืออุปสรรคในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่นั้นมีส่วนของสภาวะจิตใจเกี่ยวข้อง โดยร่วมกับความจำเป็นการใช้จิตวิทยาวิเคราะห์เพื่อช่วยในการให้คำปรึกษาให้มารดาเห็นประโยชน์และความสำคัญของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ และให้เกิดความเหมาะสมกับบุคลิกภาพของมารดา แพทย์ที่จะมีบทบาทเพิ่มมากขึ้นก็คือ จิตแพทย์ 1 เนื่องจากต้องอาศัยความรู้ความชำนาญจำเพาะด้าน ดังนั้น การให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของแพทย์ในสาขาต่าง ๆ ที่จะช่วยวางแผนกำหนดแนวทางในการร่วมดูแลมารดาและทารกอย่างเป็นระบบ เพื่อให้เกิดการประสบความสำเร็จและบรรลุเป้าหมายในการสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
เอกสารอ้างอิง
Rowold K. ‘If We Are to Believe the Psychologists …’: Medicine, Psychoanalysis and Breastfeeding in Britain, 1900-55. Med Hist 2019;63:61-81.
รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์
ประสบการณ์ในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่มีความสำคัญ แม่ที่เคยเลี้ยงลูกด้วยนมแม่มักเริ่มต้นให้ลูกกินนมแม่ได้มากกว่าและเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้นานกว่าแม่ที่ไม่เคยเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ 1 แล้วการถ่ายทอดประสบการณ์หรือช่วยเหลือในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ของยายให้แก่แม่ จะช่วยให้การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ดีขึ้นไหม คำตอบคือ การที่มียายที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของครอบครัวช่วยสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ย่อมเกิดประโยชน์และมีผลดีต่อการให้ลูกนมแม่แน่นอน แต่หากมีคำถามว่า ผลของปัจจัยไหนส่งผลต่อการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่มากกว่ากัน มีการศึกษาถึงคำตอบนี้พบว่า ประสบการณ์ตรงที่เคยเลี้ยงลูกด้วยนมแม่มีอิทธิพลมากกว่าการถ่ายทอดประสบการณ์การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่จากยาย ดังนั้น การใส่ใจสนับสนุนให้มารดาที่คลอดลูกคนแรกได้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่สำเร็จ จะมีส่วนช่วยในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในมารดาท้องหลังได้
เอกสารอ้างอิง
Wagner S, Kersuzan C, Gojard S, et al. Breastfeeding initiation and duration in France: The importance of intergenerational and previous maternal breastfeeding experiences – results from the nationwide ELFE study. Midwifery 2019;69:67-75.
รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์
แม้ว่าการให้ลูกกินนมแม่จะเป็นเรื่องธรรมชาติและเป็นมาตรฐานปกติที่มารดาควรปฏิบัติในการให้อาหารทารกหลังคลอด แต่ในการที่จะประสบความสำเร็จในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่นั้น เมื่อมีการไปสัมภาษณ์มารดาถึงประสบการณ์ที่พบเป็นอุปสรรคหรือเป็นสิ่งที่จะขัดขวางความสำเร็จในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่พบว่า ความต้องการของทารกที่จะอยู่กับอกของมารดาอย่างต่อเนื่อง การที่ต้องอยู่กับทารกเนื่องจากไม่ต้องการให้ทารกอยู่คนเดียว อาการเจ็บหัวนมหรือเต้านม และความไม่มั่นใจว่าจะมีน้ำนมให้ทารกเพียงพอเป็นประสบการณ์ที่ก่อให้เกิดผลเสียต่อการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ 1 สำหรับประสบการณ์ที่ส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ที่พบคือ การเห็นประโยชน์ของนมแม่ที่มีแก่ทารก ความสะดวกในการให้ลูกกินนมแม่ และมีความประหยัดหรือช่วยลดค่าใช้จ่าย ดังนั้น การเข้าใจถึงประสบการณ์การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ของมารดาทั้งในด้านที่เป็นอุปสรรคและด้านที่ช่วยส่งเสริม จะช่วยให้บุคลากรทางการแพทย์สามารถที่จะให้คำปรึกษาและแนะนำให้มารดาได้อย่างเหมาะสม ซึ่งก็คือ เน้นย้ำปัจจัยส่งเสริม ร่วมกับลดหรือช่วยแก้ปัญหาอุปสรรคของปัจจัยที่ขัดขวางการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่นั่นเอง
เอกสารอ้างอิง
Rocha GP, Oliveira MDF, Avila LBB, Longo GZ, Cotta RMM, Araujo RMA. Conditioning factors for exclusive breastfeeding from the mother’s perspective. Cadernos De Saude Publica 2018;34.
รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์
เรื่องน้ำหนักเป็นเรื่องที่สตรีมักมีความวิตกกังวลรวมทั้งในสตรีที่ตั้งครรภ์ที่มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นมากในระหว่างการตั้งครรภ์ จะเกิดความห่วงหรือกังวลเรื่องน้ำหนักที่จะคงค้างอยู่ในระยะหลังคลอดและในช่วงที่ให้นมลูก จริง ๆ แล้วการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เป็นหนึ่งในวิธีที่จะช่วยให้มารดามีน้ำหนักลดลงเร็วและกลับมามีน้ำหนักอยู่ในช่วงเดิมก่อนในระยะตั้งครรภ์ได้ดี แต่หากมารดาห่วงกังวลเรื่องน้ำหนักจนเกิดความเครียด หรือมีภาวะซึมเศร้า สิ่งเหล่านี้จะส่งผลเสียต่อการให้นมบุตรของมารดาได้ 1 ดังนั้น การป้องกันหรือลดความเครียดในเรื่องเหล่านี้ บุคลากรทางการแพทย์ควรให้คำแนะนำและดูแลให้มารดามีน้ำหนักขึ้นอย่างเหมาะสมในช่วงระหว่างการตั้งครรภ์ และแนะนำให้เริ่มต้นการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่หลังคลอดพร้อมการดูแลอาหารมารดาอย่างเหมาะสม ก็จะช่วงป้องกันอุปสรรคอย่างหนึ่งที่เป็นผลเสียต่อการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
เอกสารอ้างอิง
Rodgers RF, O’Flynn JL, Bourdeau A, Zimmerman E. A biopsychosocial model of body image, disordered eating, and breastfeeding among postpartum women. Appetite 2018;126:163-8.
เรื่องนำทาง
แหล่งความรู้ เกี่ยวกับสูติ-นรีเวช (Obstetrics-Gynecology)