รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์
ปัจจุบันมีความนิยมในเรื่องการนวดเต้านมกันมากขึ้น โดยมีการประกาศทางสื่อออนไลน์ถึงการจัดบริการนวดเต้านมหลังคลอดถึงที่บ้าน ซึ่งเป็นการให้บริการอย่างหนึ่งในชุดการดูแลหลังคลอด คือ นอกจากจะมีการให้บริการการอยู่ไฟหลังคลอดแล้ว จะมีการให้บริการการนวดเต้านมรวมหรือจัดชุดแยกกันให้บริการด้วย โดยในโฆษณาจะเขียนถึงการนวดเต้านมเพื่อเปิดท่อน้ำนมและกระตุ้นน้ำนมให้มีเพิ่มขึ้น เราควรจะเชื่อหรือไม่
หากมาดูถึงหลักฐานเชิงประจักษ์จากการศึกษาวิจัยที่มีการทบทวนและรวบรวมอย่างเป็นระบบพบว่า การนวดเต้านมมีประโยชน์ในการลดอาการปวดเต้านมเท่านั้น สำหรับข้อมูลในแง่การกระตุ้นน้ำนมยังไม่สามารถสรุปได้ เนื่องจากข้อมูลยังมีน้อยและมีความหลากหลายในรูปแบบหรือเทคนิคของวิธีการนวดเต้านม 1 ดังนั้น ประโยชน์ที่ยอมรับกันในปัจจุบันของการนวดเต้านมคือการลดอาการปวดเต้านม จึงถือว่าเป็นเพียงทางเลือกหนึ่งในวิธีการรักษาอาการปวดเต้านม ซึ่งยังมีการรักษาในรูปแบบอื่น ๆ ได้แก่ การใช้ยาลดอาการปวด ยาแก้อักเสบ การประคบร้อน การใช้ลูกประคบ รวมถึงการกระตุ้นให้ลูกดูดนมบ่อย ๆ ก็เป็นหนึ่งในวิธีลดอาการปวดเต้านมจากการตึงคัด การนวดเต้านมจึงไม่ได้เป็นวิธีที่ต้องทำในมารดาหลังคลอดทุกราย และในกรณีจะใช้การนวดเต้านมเพื่อการรักษาควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญในการให้คำปรึกษาเรื่องการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เพื่อจะได้ไม่เสียค่าใช้จ่ายโดยไม่จำเป็น และอาจจะเกิดโทษได้ในกรณีที่ผู้ที่นวดเต้านมไม่ได้ผ่านการอบรมที่มีมาตรฐาน ซึ่งแทนที่จะลดอาการปวดเต้านม อาจทำให้เต้านมระบมและเกิดการอักเสบหลังการนวดได้
เอกสารอ้างอิง
Anderson L, Kynoch K, Kildea S, Lee N. Effectiveness of breast massage in the treatment of women with breastfeeding problems: a systematic review. JBI Database System Rev Implement Rep 2019.
รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์
โดยทั่วไป การให้คำแนะนำมารดาในเรื่องการให้นมลูก การใช้ยาและการหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ในระหว่างการให้นมลูกนั้นเป็นบทบาทของบุคลากรทางการแพทย์ในทุกระดับ หากมองในแง่ของความน่าเชื่อถือและการได้รับการยอมรับจากมารดาและครอบครัว การให้คำแนะนำโดยสูติแพทย์และกุมารแพทย์จะให้ผลดีในด้านนี้มาก แต่เมื่อสำรวจในการปฏิบัติจริงพบว่า บุคลากรทางสาธารณสุข พยาบาล และแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไปกลับให้ความร่วมมือในการให้คำแนะนำตามนโยบายในเรื่องข้อควรระวังในการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ในระหว่างการให้ลูกกินนมแม่มากกว่าสูติแพทย์และกุมารแพทย์1 จากข้อมูลที่ได้นี้ อาจนำไปใช้ในการจัดแบ่งระดับข้อแนะนำที่สูติแพทย์และกุมารแพทย์ควรแนะนำให้เลือกเฉพาะหัวข้อที่สำคัญโดยมีจำนวนไม่มากและมีการติดตามย้ำในข้อแนะนำเหล่านี้ เพื่อเพิ่มการปฏิบัติให้มากขึ้น และสำหรับข้อแนะนำทั่ว ๆ ไป ควรกำหนดให้บุคลากรทางสาธารณสุข พยาบาล และแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไปเป็นผู้ให้ เพื่อความครอบคลุมที่มากกว่า โอกาสที่จะบรรลุเป้าหมายจากข้อแนะนำก็จะสูงขึ้น
เอกสารอ้างอิง
Giglia RC, Symons M, Shaw T. The provision of alcohol and breastfeeding information by maternal health practitioners in the Australian setting. Aust N Z J Obstet Gynaecol 2019;59:258-64.
รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์
Vasopressin เป็นฮอร์โมนที่สร้างจากไฮโปธารามัสและหลั่งจากต่อมใต้สมองส่วนหลังเช่นเดียวกับออกซิโทซิน มีความสัมพันธ์ของฮอร์โมนนี้กับออกซิโทซินในมารดาและทารกในทิศทางที่ตรงกันข้าม คือ มักพบ vasopressin สูงในมารดาที่มีอายุน้อยกว่า ดัชนีมวลกายมากกว่า ทารกหลังคลอดมีน้ำหนักลดลงมากกว่า และอาจจะเกี่ยวข้องกับการคลอดที่ช้ากว่าด้วย ขณะที่ออกซิโทซิน มักพบในมารดาที่มีอายุมากกว่า ดัชนีมวลกายน้อยกว่า ทารกหลังคลอดมีน้ำหนักลดลงน้อยกว่า และระยะการคลอดที่สั้น ดังนั้น ความรู้พื้นฐานนี้อาจนำไปใช้ในการสร้างองค์ความรู้ใหม่ในอนาคต1
รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์
ออกซิโทซิน เป็นฮอร์โมนที่มีความสัมพันธ์กับสตรีในช่วงวัยเจริญพันธุ์จนมีคำเรียกว่าเป็น “ฮอร์โมนแห่งความรัก ” โดยที่ออกซิโทซินจะมีความสำคัญกับการเจริญพันธุ์ตั้งแต่ การรู้สึกถึงจุดสุดยอดของสตรีเมื่อสตรีมีเพศสัมพันธ์ เมื่อสตรีตั้งครรภ์และเข้าสู่ระยะของการคลอด ออกซิโทซินจะมีบทบาทสำคัญเกี่ยวกับการหดรัดตัวของมดลูกในระหว่างการคลอด การพบออกซิโทซินสูงในมารดาระหว่างการคลอดจะสัมพันธ์กับระยะเวลาของการคลอดที่สั้น เมื่อสตรีคลอดบุตรแล้ว ออกซิโทซินจะช่วยให้มดลูกเข้าอู่และช่วยในการหลั่งของน้ำนมขณะทารกดูดนม การที่ทารกกินนมแม่ได้ดี ทำให้ทารกน้ำหนักลดหลังคลอดน้อยลง1 ดังนั้น การเรียนรู้ให้มีความเข้าใจกับฮอร์โมนออกซิโทซินอย่างลึกซึ้งจึงมีความจำเป็น เพื่อเข้าใจบทบาทและความสำคัญของออกซิโทซินที่มีผลต่อสุขภาวะของการเจริญพันธุ์ของสตรี
เอกสารอ้างอิง
Erickson EN, Carter CS, Emeis CL. Oxytocin, Vasopressin and Prolactin in New Breastfeeding Mothers: Relationship to Clinical Characteristics and Infant Weight Loss. J Hum Lact 2019:890334419838225.
รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์
ในอดีตมีการศึกษาเรื่องส่วนประกอบของนมแม่น้อย และสารอาหารส่วนใหญ่ในนมแม่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการรับประทานอาหารของมารดารวมทั้งพลังงานที่ได้รับจากนมแม่ จึงมักมีความเข้าใจว่าการเจริญเติบโต พัฒนาการ และภูมิคุ้มกันของทารกขึ้นอยู่กับปริมาณการกินนมแม่ของทารกโดยขาดการพูดถึงรายละเอียดของส่วนประกอบของนมแม่ แต่ต่อมา เมื่อมีการศึกษาถึงส่วนประกอบของนมแม่ว่ามีความสำคัญต่อทารกอย่างไร จึงพบว่า ส่วนประกอบของนมแม่ก็มีผลต่อการเจริญเติบโต พัฒนาการ และภูมิคุ้มกันของทารกด้วย โดยมีการศึกษาถึงสารประกอบ adiponectin, leptin และ casein ที่สร้างจากลำไส้เล็กและเป็นปัจจัยที่มีผลต่อความอิ่มที่มีอยู่ในนมแม่จะมีความสัมพันธ์กับน้ำหนักทารก การเจริญเติบโตตามกราฟการเจริญเติบโตและพัฒนาการสัดส่วนของสารประกอบในร่างกายทารก ขณะที่มีการศึกษาถึงสารประกอบในนมแม่ที่พาสเจอร์ไรซ์พบ lactoferrin ลดลง ซึ่งปริมาณ lactoferrin ในนมแม่มีความสัมพันธ์กับภูมิคุ้มกันของทารกในการป้องกันการติดเชื้อ1 ดังนั้นในปัจจุบัน เราจึงควรให้ความสนใจว่า การให้นมแม่นั้น ควรให้ทารกได้รับทั้งปริมาณที่พอเพียงและส่วนประกอบของนมแม่ที่ครบถ้วน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดทั้งในด้านการเจริญเติบโต พัฒนาการ และภูมิคุ้มกันโรค
เอกสารอ้างอิง
Geddes D, Perrella S. Breastfeeding and Human Lactation. Nutrients 2019;11.
เรื่องนำทาง
แหล่งความรู้ เกี่ยวกับสูติ-นรีเวช (Obstetrics-Gynecology)