รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์
? ? ? ? ? ? ? โดยทั่วไป นมแม่จะเพียงพอสำหรับทารกในแต่ละช่วงเวลา การให้นมแม่ตามความต้องการของทารกจะดีที่สุด แต่ในกรณีที่มารดาต้องไปทำงานนอกบ้าน การบีบน้ำนมเก็บไว้ให้ทารกอาจมีความจำเป็น การบีบเก็บน้ำนมตั้งแต่ในระยะแรกหลังคลอดสามารถทำได้ แต่มารดาไม่ควรคาดหวังว่าจะสามารถบีบน้ำนมเก็บได้เต็มแก้วหรือเต็มขวดในครั้งแรก นมแม่เมื่อได้รับการกระตุ้นบ่อยๆ และให้ทารกดูดหรือบีบออกจนเกลี้ยงเต้า น้ำนมจะผลิตเพิ่มขึ้น
? ? ? ? ? ? ?หากในช่วงหลังคลอดใหม่ มารดาให้ทารกกินนมแล้ว บีบเก็บน้ำนมได้น้อย ทารกยังเจริญเติบโตตามเกณฑ์ ขับถ่ายปกติ ไม่ควรวิตกกังวลเรื่องการบีบเก็บน้ำนมได้น้อย การบีบเก็บน้ำนม ควรเริ่มต้นด้วยการบีบน้ำนมด้วยมือก่อนในระยะแรกหลังคลอด โดยอาจบีบน้ำนมในเต้านมข้างที่ทารกไม่ได้ดูดนมขณะเดียวกันกับให้ทารกดูดเต้านมอีกข้าง การดูดนมของทารกจะกระตุ้นฮอร์โมนออกซิโตซินที่จะช่วยให้น้ำนมไหลได้ดีขึ้น เมื่อน้ำนมไหลได้ดี การปั๊มนมจากเต้าทั้งสองพร้อมกันในระหว่างมื้อของการให้นมทารก จะให้ได้น้ำนมมากขึ้นโดยใช้เวลาในการปั๊มน้อยลง ยิ่งกระตุ้นบีบน้ำนมเก็บบ่อยๆ น้ำนมก็ยิ่งผลิตมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ?มารดาควรระลึกไว้เสมอว่า การให้นมจากเต้าที่สดใหม่ย่อมดีกว่าการให้น้ำนมที่บีบเก็บหรือแช่เย็นไว้ และการให้นมแม่ที่แช่เย็นไว้ก็ยังดีกว่าการให้นมผสม?
เอกสารอ้างอิง
- Cadwell K, Turner-Maffei C. Pocket guide for lactation management. 2nd?ed. Burlington: Jones & Bartlett Learning 2014.
เอกสารประกอบการสอนภาวะลิ้นติด
tongue-tie review
รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์
? ? ? ? ? ?นมแม่ส่วนใหญ่จะเพียงพอสำหรับทารก แต่ในมารดาบางรายนมแม่มีน้อย การตรวจหาสาเหตุมีความจำเป็น เพื่อการแก้ไขที่เหมาะสมให้น้ำนมกลับมาเป็นปกติ สาเหตุที่ทำให้มารดามีน้ำนมน้อย ได้แก่
? ? ? -การให้ลูกเริ่มกระตุ้นดูดนมช้า ความถี่ในการดูดนมน้อยเกินไป การดูดนมที่ไม่เกลี้ยงเต้า (พบเป็นสาเหตุได้บ่อย)
? ? ? -การให้นมผสมเสริมจากนมแม่
? ? ? -มารดาเปลี่ยนใจจากการให้ลูกกินนมผสมเปลี่ยนมาให้นมแม่
? ? ? -มารดาสูบบุหรี่
? ? ? -มารดาที่ได้รับยาที่ทำให้น้ำนมมาน้อย ได้แก่ pseudoephedrine โดยอาจได้รับร่วมกับยา antihistamine
? ? ? -โรคหรือภาวะแทรกซ้อนบางอย่างระหว่างการตั้งครรภ์ การคลอดหรือหลังคลอด ได้แก่ การตกเลือดหลังคลอด มารดามีภาวะไทรอยด์ผิดปกติ มารดาเคยได้รับการผ่าตัดเต้านม หรืออาจเกิดจากมารดามีการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อเต้านมผิดปกติ (พบน้อย)
? ? ? ? ? ? ? ดังนั้น จะเห็นว่า สาเหตุที่พบส่วนใหญ่สามารถแก้ไขได้ หากมารดาตั้งใจ เอาใจใส่ และได้รับการให้คำปรึกษาที่เหมาะสม มารดากลุ่มนี้ จะประสบความสำเร็จในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้
เอกสารอ้างอิง
- Cadwell K, Turner-Maffei C. Pocket guide for lactation management. 2nd ?ed. Burlington: Jones & Bartlett Learning 2014.
รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์
??????????????? ในสัปดาห์แรกหลังคลอด ทารกจะมีน้ำหนักลด แต่มีข้อแนะนำว่า น้ำหนักของทารกที่ลดไม่ควรเกินร้อยละ 7 จากน้ำหนักแรกคลอดในที่ 5 หลังคลอด เพื่อให้บุคลากรทางการแพทย์และมารดาระมัดสาเหตุที่ทำให้ทารกน้ำหนักลดอาจเป็นอันตรายแก่ทารกได้ ดังนั้น จึงเขียนตารางเทียบน้ำหนักตัวของทารกและน้ำหนักที่ไม่ควรลดเกินในวันที่ 5 หลังคลอด เพื่อให้ง่ายและสะดวกในการดูแลในเรื่องน้ำหนักทารกที่ลดลง
น้ำหนักแรกคลอด (กิโลกรัม) |
ในวันที่ห้าหลังคลอด น้ำหนักที่ลดไม่ควรเกิน (กรัม)? |
2.5 |
175 |
2.75 |
192.5 |
3 |
210 |
3.25 |
227.5 |
3.5 |
245 |
3.75 |
262.5 |
4 |
280 |
4.25 |
297.5 |
4.5 |
315 |
เอกสารอ้างอิง
- Cadwell K, Turner-Maffei C. Pocket guide for lactation management. 2nd?ed. Burlington: Jones & Bartlett Learning 2014.
รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์
??????????????? ในทารกปกติ มารดาหรือบุคลากรทางการแพทย์อาจใช้สูตรคำนวณปริมาณน้ำนมที่ทารกต้องการต่อวันได้ดังนี้
น้ำหนักทารก(กิโลกรัม)คูณด้วย 5.5 จะเท่ากับปริมาณน้ำนม(ออนซ์)ที่ทารกควรจะได้รับต่อวัน
?ซึ่งเพื่อให้ดูง่าย ได้จัดทำเป็นตารางน้ำหนักทารกและความต้องการน้ำนม แสดงในตาราง
น้ำหนักทารก?(กิโลกรัม)
|
ความต้องการนมแม่?(ออนซ์) ต่อวัน |
นมแม่ (ออนซ์) ต่อมื้อ?(8 มื้อต่อวัน) |
น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นหลังกินนมแม่(กรัม) |
2.5 |
13.75 |
1.72 |
52 |
2.75 |
15.125 |
1.89 |
57 |
3 |
16.5 |
2.06 |
62 |
3.25 |
17.875 |
2.23 |
67 |
3.5 |
19.25 |
2.41 |
72 |
3.75 |
20.625 |
2.58 |
77 |
4 |
22.0 |
2.75 |
83 |
4.25 |
23.375 |
2.92 |
88 |
4.5 |
24.75 |
3.09 |
93 |
4.75 |
26.125 |
3.27 |
98 |
5 |
27.5 |
3.44 |
103 |
? ? ? ? ? ? ?หรืออาจใช้น้ำหนักทารก (กิโลกรัม) คูณด้วย 20.6 เท่ากับน้ำหนักของทารกที่เพิ่มขึ้นหลังกินนม (กรัม) หากให้นมทารก 8 มื้อต่อวัน ซึ่งข้อมูลนี้จะช่วยให้มารดาหรือบุคลากรทางการแพทย์ประเมินการให้นมทารกได้อย่างง่ายๆ
เอกสารอ้างอิง
- Cadwell K, Turner-Maffei C. Pocket guide for lactation management. 2nd?ed. Burlington: Jones & Bartlett Learning 2014.
แหล่งความรู้ เกี่ยวกับสูติ-นรีเวช (Obstetrics-Gynecology)