
รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์
? ? ? ? ? ? ?โอเมก้า-3 และน้ำมันปลามีประโยชน์ในช่วงที่มารดาให้นมบุตร โดยเฉพาะในมารดาที่มีการขาดกรดไขมันเหล่านี้ ในสหรัฐอเมริกามีการสำรวจอาหารมารดาขณะตั้งครรภ์ให้นมบุตร พบว่ามีปริมาณโอเมก้า-3 น้อยและไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ดังนั้นการให้เสริมจะได้ประโยชน์ อย่างไรก็ตาม มีข้อควรระวังเนื่องจากโอเมก้า-3 และน้ำมันปลาจะได้จากปลาทะเลซึ่งในปัจจุบันมีการปนเปื้อนสารปรอทค่อนข้างมาก การจะรับประทานจำเป็นต้องทราบว่ามีการผ่านการตรวจสอบสารปรอทแล้วหรือยัง มิฉะนั้น สารปรอทอาจเป็นพิษต่อทารก และจะเกิดโทษมากกว่าผลดีที่ได้ สำหรับแหล่งของโอเมก้า-3 และน้ำมันปลาที่มักพบสารปรอทสูง ได้แก่ ปลาทู king mackerel ปลาทูน่าครีบสีฟ้า ปลาฉลาม ปลาปากดาบ ปลา albacore และปลา tilefish
เอกสารอ้างอิง
- Bunik M. Breastfeeding telephone triage and advice. 2nd?ed. The American Academy of Pediatrics 2016.

รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์
? ? ? ? ? ? ?ในสมัยโบราณ มีการใช้สมุนไพรที่ช่วยเพิ่มน้ำนมหลายชนิดทั้งในและต่างประเทศ สำหรับในประเทศไทยมีการใช้หัวปลี ขิง พริกไทยอ่อน นมวัว นมนาง หรือน้ำนมราชสีห์ และพืชผักอีกหลายชนิด ในต่างประเทศมีการใช้ลูกซัด (fenugreek) ซึ่งเป็นเครื่องเทศชนิดหนึ่งที่มีใช้ในประเทศจีน อินเดีย และแถบเมดิเตอเรเนียน นอกจากนี้ยังมี blessed thistle, alfalfa, red clover น้ำข้าวบาร์เล่ย์ และราก marshmallow แต่น่าเสียดายที่ยังขาดข้อมูลหลักฐานเชิงประจักษ์ถึงขนาด ปริมาณและระยะเวลาที่ใช้อย่างมีประสิทธิภาพ ข้อควรระวังและอาการข้างเคียงที่ต้องติดตาม ดังนั้น มารดาที่มีน้ำนมน้อยไม่ควรหวังพึ่งพาสมุนไพรเหล่านี้เป็นหลัก ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุและแก้ไขให้ตรงกับสาเหตุจะดีกว่า สำหรับอาหารหรือสมุนไพรเน้นการรับประทานให้หลากหลายครบทุกหมู่ เน้นผัก ผลไม้สีเขียว ข้าวโอ๊ตและธัญพืชเสริมน่าจะเหมาะสมกว่า
เอกสารอ้างอิง
- Bunik M. Breastfeeding telephone triage and advice. 2nd?ed. The American Academy of Pediatrics 2016.

รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์
? ? ? ? ? ?ปกติหลังคลอด มารดามักได้ยินเกี่ยวกับอาหารต่างๆ หลายชนิดที่ช่วยเพิ่มน้ำนม ซึ่งมีความเชื่อหลายอย่างในแต่ละสังคมหรือในวัฒนธรรมที่หลากหลาย ที่มารดามักคุ้นเคย ได้แก่ ในครอบครัวคนจีนมีการแนะนำให้มารดากินซุปไก่หรือซุปปลา ในเกาหลีมีการแนะนำให้กินซุปสาหร่าย ซึ่งอาหารที่ส่งเสริมให้กินเพื่อช่วยเพิ่มน้ำนมในบางวัฒนธรรมอาจเป็นข้อห้ามในอีกวัฒนธรรมหนึ่ง เช่น ในสังคมอเมริกันไม่แนะนำให้กินกระเทียม พริกหรืออาหารรสเผ็ด พริกไทยแดง และอาหารจำพวกถั่ว ในขณะที่บางวัฒนธรรมถือว่าอาหารที่มีรสจัดเหล่านี้ดีสำหรับมารดาที่ให้นม
? ? ? ? ? แล้วในความเป็นจริงแล้ว มารดาควรกินอาหารประเภทใดเพื่อช่วยเพิ่มน้ำนม อาหารที่มีรายงานว่าช่วยเพิ่มน้ำนม ได้แก่ ข้าวโอ๊ต น้ำมันเพื่อสุขภาพ เช่น น้ำมันมะกอก ผักใบเขียวเข้ม ยี่หร่า หัวผักกาด และมันเทศ มะละกอที่ยังดิบเป็นสีเขียวหรือผลไม้ที่มีสีเขียวที่อุดมไปด้วยเอนไซม์ปาเปน (papain) ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่สำคัญในการช่วยเพิ่มน้ำนมได้ ดังนั้นในประเทศไทย การกินผักใบเขียวและผลไม้สีเขียวที่มีหลากหลายจึงมีประโยชน์และการกินแกงเลียงซึ่งประกอบไปด้วยผักใบเขียวหลายชนิดจะช่วยเพิ่มการสร้างน้ำนมได้ นอกจากนี้ การกินส้มตำซึ่งประกอบด้วยมะละกอดิบก็ช่วยเพิ่มการสร้างน้ำนมได้เช่นกัน
เอกสารอ้างอิง
- Bunik M. Breastfeeding telephone triage and advice. 2nd The American Academy of Pediatrics 2016.

รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์
? ? ? ? ? ? โดยทั่วไป มารดาจะได้รับการดูแลโดยมีการให้ธาตุเหล็กเสริมระหว่างช่วงตั้งครรภ์ ซึ่งการเสริมธาตุเหล็ก มารดายังมีความจำเป็นต้องได้รับอย่างต่อเนื่องในขณะมารดาให้นมบุตร โดยบางครั้ง การให้การดูแลหรือเอาใจใส่ในการแนะนำเรื่องอาหารหรือการเสริมวิตามินหรือแร่ธาตุในมารดาหลังคลอดมักถูกละเลย เนื่องจากอาจเป็นรอยต่อของการดูแลจากสูติแพทย์ไปที่กุมารแพทย์ หากบุคลากรทางการแพทย์ไม่มีการสอบถามถึงการกินอาหารที่เหมาะสมหรือการเสริมวิตามินและแร่ธาตุที่มารดาควรได้รับ อาจส่งผลต่อความครบถ้วนของสารอาหารที่มีในนมแม่ได้ นอกจากนี้ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงในการขาดสารอาหารบางชนิด ได้แก่ ไอโอดีน และกรดโฟลิค การให้สารเหล่านี้เสริมแก่มารดาจะมีความจำเป็น และต้องมีการเน้นย้ำให้มีการให้อย่างต่อเนื่องจนกระทั่งมารดาหยุดให้นมบุตรด้วย
? ? ? ? ? ในประเทศไทย นอกจากการเสริมธาตุเหล็กแล้ว ควรมีการเสริมแคลเซียมให้มารดาด้วย เนื่องจากมารดาต้องการแคลเซียมขณะให้นมบุตรสูงขึ้นโดยมีความต้องการวันละ 1500 มิลลิกรัม แต่เนื่องจากแคลเซียมที่ได้รับจากอาหารปกติที่คนไทยรับประทาน จะได้รับแคลเซียมจากอาหารราว 400 มิลลิกรัมต่อวัน ดังนั้น บุคลากรทางการแพทย์ควรมีการแนะนำเรื่องอาหารที่มีแคลเซียมสูงร่วมกับการเสริมแคลเซียมเสริมในขณะที่มารดาให้นมบุตร ซึ่งพบว่ามารดาที่ให้นมบุตรอาจมีการสูญเสียมวลกระดูกได้ร้อยละ 3-5 แต่มวลกระดูกจะกลับมาสู่ภาวะปกติราวหกเดือนหลังจากหยุดการให้นมลูก หากมารดามีการรับประทานอาหารที่เหมาะสม
เอกสารอ้างอิง
- Bunik M. Breastfeeding telephone triage and advice. 2nd?ed. The American Academy of Pediatrics 2016.

รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์
? ? ? ? ? โรคลมชักหรือภาษาอังกฤษใช้คำว่า epilepsy โรคนี้เกิดได้จากหลายสาเหตุ ส่วนใหญ่อาการจะเรื้อรัง ซึ่งจำเป็นต้องใช้ยาในการรักษาอย่างต่อเนื่อง สำหรับยาที่ใช้มีหลายชนิด โดยยา Phenytoin, carbamazepine, valproic acid และ levetiracetam สามารถใช้ได้อย่างปลอดภัยในขณะให้นมบุตร ขณะที่ยา Gabapentin และ lamotrigine ควรใช้ด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากยาผ่านไปที่น้ำนมมารดาได้ดีและทำให้เกิดอาการง่วงซึมในทารกได้ ดังนั้น ในมารดาที่เป็นโรคลมชักควรปรึกษาแพทย์ผู้ให้การรักษาเพื่อปรับยาให้เหมาะสมที่ควบคุมอาการลมชักได้และมีความปลอดภัยในขณะให้นมบุตร
เอกสารอ้างอิง
- Bunik M. Breastfeeding telephone triage and advice. 2nd?ed. The American Academy of Pediatrics 2016.
แหล่งความรู้ เกี่ยวกับสูติ-นรีเวช (Obstetrics-Gynecology)