คลังเก็บหมวดหมู่: ความรู้สำหรับนักศึกษา

ความรู้สำหรับนักศึกษา

รูปแบบการกินนมแม่ของทารก

00024-5-1-smallรศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์

คำถามที่มารดามักมาปรึกษาแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์เกี่ยวกับการให้นมลูก ได้แก่ ลักษณะการกินนมของลูกอย่างไรจึงจะเป็นปกติ หรือการให้นมของแม่แก่ลูกที่ปกติเป็นอย่างไร การที่จะอธิบายให้มารดาและครอบครัวเข้าใจจำเป็นต้องทราบหลักการสำคัญในการให้นมแก่ทารก คือ การให้นมตามความต้องการของทารกและให้ทารกกระตุ้นดูดนมให้มีการสร้างน้ำนมที่เพียงพอ
??????????? การให้นมแม่ตามความต้องการของทารก ในช่วงวันแรกถึงวันที่สองหลังคลอด ขนาดกระเพาะทารกยังมีขนาดเล็กความจุใกล้เคียงกับขนาดลูกปิงปอง และค่อยๆ ปรับตัวขยายขนาดเพื่อรับปริมาณน้ำนมที่เพิ่มขึ้น ดังนั้น ในระยะแรกการที่มารดามีหัวน้ำนมที่มีปริมาณน้อยก็จะสอดคล้องกับความจุของกระเพาะอาหารของทารก จากนั้นเมื่อถึงวันที่สามหลังคลอดน้ำนมของมารดาจะมากขึ้น มีอาการตึงคัดเต้านม ความต้องการน้ำนมของทารกเพิ่มขึ้น ทารกจะดูดนมได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยทั่วไปนมแม่จะย่อยและดูดซึมได้ง่าย การกินนมของทารกจึงมักกินบ่อยราว 8-12 ครั้งต่อวัน โดยการกินนมในแต่ละเต้าใช้เวลาราว 10-15 นาที อย่างไรก็ตาม จำนวนครั้งและระยะเวลาในการดูดนมของทารกนั้นไม่ได้จำกัดว่าจำเป็นต้องได้ตามกำหนดอย่างนี้ จะขึ้นอยู่กับปริมาณและการไหลของน้ำนมมารดาและการดูดนมทารกในแต่ละคู่มากกว่า ส่วนใหญ่จะแนะนำให้เริ่มดูดนมข้างที่ดูดไว้ในครั้งก่อนหน้านี้ให้เกลี้ยงเต้าก่อนการเปลี่ยนไปดูดนมจากอีกเต้าหนึ่ง ซึ่งการดูดนมให้เกลี้ยงเต้านี้เป็นกลไกสำหรับในการกระตุ้นให้มีการสร้างน้ำนมที่เพียงพอสำหรับทารก

เอกสารอ้างอิง
1. The American of Obstetricians and Gynecologist, American Academy of Pediatrics. Breastfeeding handbook for physician. 2nd edition. 2014.

 

ปัจจัยเสี่ยงของทารกในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่

imageรศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์

??????????????? ในการให้คำปรึกษาการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ นอกจากบุคลากรทางการแพทย์จะต้องมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องปัจจัยเสี่ยงของมารดาที่จะส่งผลต่อการให้นมลูกแล้ว ยังจำเป็นต้องทราบปัจจัยเสี่ยงของทารกที่มีผลต่อการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ด้วย เพื่อการพิจารณาเลือกการให้คำปรึกษาได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม รายละเอียดของปัจจัยเสี่ยงของทารก มีดังนี้
????????? ปัจจัยเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อน กายวิภาคและสรีรวิทยา
???????? ?? ? ทารกที่คลอดก่อนกำหนดหรือมีน้ำหนักตัวน้อย
??????????? ? ทารกครรภ์แฝด
??????????? ? ทารกที่เข้าเต้าลำบากในเต้านมข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้าง
??????????? ? ทารกที่ดูดนมไม่ต่อเนื่องหรือดูดนมไม่มีประสิทธิภาพ
??????????? ? ทารกที่มีความผิดปกติของกายวิภาคในช่องปาก เช่น ปากแหว่งเพดานโหว่ คางเล็ก ลิ้นใหญ่
?????????? ? ทารกที่มีภาวะแทรกซ้อน ได้แก่ ตัวเหลือง น้ำตาลต่ำ หายใจเร็ว หรือมีการติดเชื้อ
?????????? ? ทารกที่มีปัญหาทางระบบประสาท ได้แก่ กล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือกล้ามเนื้อเกร็งตัว
?????????? ? ทารกที่ง่วงนอนอย่างต่อเนื่อง
?????????? ? ทารกที่น้ำหนักตัวลดมากหรือรุนแรง
??????? ปัจจัยเสี่ยงจากสิ่งแวดล้อม
????????? ? การป้อนนมผงดัดแปลงสำหรับทารกแรกเกิด
????????? ? ทารกที่ยังกินนมได้ไม่ดีขณะที่ได้รับอนุญาตให้กลับบ้าน
????????? ? ทารกและมารดาที่ได้รับอนุญาตให้กลับบ้านเร็วเกินไป
????????? ? ทารกที่ใช้จุกนมหลอกตั้งแต่ในระยะแรก

เอกสารอ้างอิง
1. The American of Obstetricians and Gynecologist, American Academy of Pediatrics. Breastfeeding handbook for physician. 2nd edition. 2014.

 

ปัจจัยเสี่ยงของมารดาในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ตอนที่ 2

IMG_9483รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์

??????? ปัจจัยทางด้านกายวิภาคและสรีรวิทยา
???????????? ? มารดาที่ไม่มีการขยายขนาดของเต้านมระหว่างการตั้งครรภ์
???????????? ? มารดาที่มีหัวนมบอดหรือหัวนมแบน
???????????? ? มารดาที่มีลักษณะของเต้านมที่ผิดปกติ ได้แก่ เต้านมแตกต่างกันมากระหว่างสองเต้า เต้านมขาดการพัฒนาการสำหรับการให้นมที่เหมาะสมคือ เต้านมที่ไม่มีเนื้อของต่อมน้ำนมหรือต่อมน้ำนมน้อย (hypoplastic breast) หรือเต้านมเป็นทรงท่อ (tubular breast)
??????????? ? มารดาที่มีการผ่าตัดเต้านมที่มีการตัดหรือไปรบกวนท่อน้ำนมหรือปลายประสาทที่รับความรู้สึกที่หัวนม
??????????? ? มารดาที่มีการผ่าตัดเต้านมเพื่อการแก้ไขลักษณะที่ผิดปกติหรือการเจริญเติบโตที่บกพร่องของเต้านม
????????? ? ? มารดาที่เคยเป็นฝีที่เต้านมมาก่อน
???????? ?? ? มารดาที่มีอาการเจ็บหัวนมมากหรือมีอาการเจ็บหัวนมเรื้อรัง
???????? ?? ? มารดาที่เต้านมขาดการพัฒนาการสร้างน้ำนมในระยะที่ 2 (failure of lactogenesis stage 2)
??????? ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม
??????????? ? มารดาที่จำเป็นต้องแยกจากทารกหลังคลอด

เอกสารอ้างอิง
1. The American of Obstetricians and Gynecologist, American Academy of Pediatrics. Breastfeeding handbook for physician. 2nd edition. 2014.

ปัจจัยเสี่ยงของมารดาในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ตอนที่ 1

IMG_1012รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์

การที่บุคลากรทางการแพทย์จะให้คำปรึกษาหรือดูแลมารดาในการสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ควรมีความเข้าใจและมีความรู้ในเรื่องปัจจัยเสี่ยงของมารดาที่จะส่งผลต่อการให้นมลูก เพื่อการเลือกการให้คำปรึกษา ดูแล และติดตามมารดาและทารกอย่างเหมาะสม รายละเอียดของปัจจัยเสี่ยงของมารดา มีดังนี้
????? ปัจจัยเสี่ยงจากประวัติ
???????? ? ความตั้งใจที่จะเลี้ยงลูกด้วยนมผงดัดแปลงสำหรับทารกแรกเกิด
???????? ? ประวัติปัญหาในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในครรภ์ก่อนหรือประวัติการกินนมแม่แล้วทารกเจริญเติบโตช้า
???????? ? ประวัติการมีบุตรยากที่สัมพันธ์กับฮอร์โมน
???????? ? ประวัติโรคประจำตัวที่มีผลต่อการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ได้แก่ ภาวะไทรอยด์ต่ำหรือเบาหวานที่ไม่ได้รับการรักษา เป็นต้น
???????? ? อายุมารดา มารดาวัยรุ่นและมารดาที่มีอายุมากจะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น
???????? ? มารดาที่มีภาวะซึมเศร้า
???????? ? มารดาที่มีภาวะแทรกซ้อนระหว่างการตั้งครรภ์และการคลอด ได้แก่ ความดันโลหิตสูงระหว่างการตั้งครรภ์ การตกเลือดก่อนและหลังคลอด หรือมารดาที่มีภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้อ
???????? ? มารดาที่มีความตั้งใจจะเริ่มยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมเร็ว ก่อนที่น้ำนมจะมาดี

เอกสารอ้างอิง
1. The American of Obstetricians and Gynecologist, American Academy of Pediatrics. Breastfeeding handbook for physician. 2nd edition. 2014.

การให้คำปรึกษาการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ที่คลินิกฝากครรภ์

IMG_9372

รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์

??????????????? การให้คำปรึกษามารดาและครอบครัวในเรื่องการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ที่คลินิกฝากครรภ์เป็นบทบาทของสูติแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งในการให้คำปรึกษา จำเป็นต้องมีการเตรียมตัวและทราบหลักการที่สำคัญในการให้คำปรึกษา โดยมีรายละเอียดดังนี้

??????????????? ก่อนการให้คำปรึกษา บุคลากรทางการแพทย์ควรมีการทบทวน รวบรวมข้อมูล ความรู้ ข้อแนะนำและแนวทางการปฏิบัติต่างๆ เกี่ยวกับการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ให้มีความทันสมัยและอ้างอิงจากหลักฐานเชิงประจักษ์

  • เริ่มพูดคุยกับมารดาและครอบครัวเกี่ยวกับความคิดในเรื่องการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
  • รับทราบในสิ่งที่มารดาและครอบครัววิตกกังวล
  • ให้ข้อมูลที่ถูกต้องในเรื่องที่มารดาและครอบครัววิตกกังวล
  • พูดว่าทีมแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ทุกท่านให้การสนับสนุนเรื่องการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
  • ทบทวนโดยให้ความรู้มารดาและครอบครัวถึงประโยชน์ของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
  • ชี้แจงให้มารดาเห็นความสำคัญของการดูแลและการจัดการที่ส่งผลต่อการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
  • แจ้งให้มารดาทราบเกี่ยวกับบันไดสิบขั้นสู่ความสำเร็จในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่และการดำเนินการตามนโยบายของสถานพยาบาล
  • อธิบายให้มารดาทราบถึงความสำคัญของการโอบกอดเนื้อแนบเนื้อและการเริ่มให้ลูกกินนมแม่ตั้งแต่ภายในครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมงแรกหลังคลอด
  • รับฟังข้อมูลเกี่ยวกับประสบการณ์การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในครรภ์ก่อน
  • ทบทวนประวัติโรคประจำตัว ประวัติการบาดเจ็บหรือผ่าตัดบริเวณเต้านม
  • อธิบายให้มารดาเข้าใจถึงความจำเป็นในการตรวจเต้านมเพื่อประเมินการเปลี่ยนแปลงของเต้านมในระหว่างการตั้งครรภ์
  • พูดคุยถึงความหมายและความสำคัญในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวในหกเดือนแรกหลังคลอด
  • พูดคุยถึงการเข้าร่วมกิจกรรมการจัดกลุ่มแม่ที่ต้องการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน หากมีการจัดการให้บริการในโรงพยาบาลหรือในชุมชน
  • มีหนังสือ สื่อวิดีโอ จัดให้บริการแก่มารดาและครอบครัวที่สามารถยืมหรือขอดูเพื่อศึกษาเพิ่มเติมได้ รวมทั้งหากมีสื่อการให้บริการออนไลน์ที่มารดาสามารถจะเข้าดูอย่างสะดวกสบายได้ที่บ้าน เบอร์โทรศัพท์และช่องทางการติดต่อสื่อสารในสื่อสังคมออนไลน์ที่มารดาสามารถรับคำปรึกษาได้
  • สอบถามมารดาเกี่ยวกับยาที่มารดาใช้เป็นประจำ

เมื่อจะจบการให้คำปรึกษา

  • ควรสอบถามมารดาว่ามีข้อสงสัยใดๆ เกี่ยวกับการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ไหม
  • สอบถามมารดาและครอบครัวมีว่าข้อสงสัยหรือคำถามเกี่ยวกับเรื่องอื่นๆ ไหม
  • เน้นย้ำอีกครั้งถึงความสำคัญของการปฏิบัติตัวต่างๆ ที่มีผลต่อการให้นมลูก รวมถึงความสำคัญของการให้การสนับสนุนของคนในครอบครัวที่มีผลต่อความสำเร็จในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
  • พูดให้กำลังใจให้กับมารดาและครอบครัวในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่และเป็นแรงใจในการสนับสนุน เช่น ?หมอและเจ้าหน้าที่ทุกท่านเป็นกำลังใจให้คุณแม่และครอบครัวเลี้ยงลูกด้วยนมแม่สำเร็จนะครับ/คะ?
  • เสนอทางเลือกในการให้คำปรึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ หากมารดาและครอบครัวต้องการคำปรึกษาเพิ่มเติม

เอกสารอ้างอิง

  1. The American of Obstetricians and Gynecologist, American Academy of Pediatrics. Breastfeeding handbook for physician. 2nd edition. 2014.