รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์
การคลอดก่อนกำหนดเป็นภาวะแทรกซ้อนที่เกิดผลเสียที่มีความเสี่ยงสูงที่จะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนและการเสียชีวิตของทารก โดยสิ่งที่จะตามมากับการเกิดการคลอดก่อนกำหนด คือการใช้ทรัพยากรทางด้านสาธารณสุขจำนวนมาก ทั้งบุคลากรทางการแพทย์ การใช้พื้นที่ที่จัดเป็นหอทารกป่วยวิกฤตเพื่อการดูแลและเลี้ยงดูทารกจนฟื้นตัวและพ้นจากอันตรายที่เกิดขึ้นจากการคลอดก่อนกำหนด มีการศึกษาพบว่าการเสริมโอเมก้า 3 จะช่วยป้องกันการคลอดก่อนกำหนด ซึ่งอาจอธิบายได้จากการที่โอเมก้า 3 เป็นส่วนประกอบของเยื่อหุ้มต่าง ๆ การมีปริมาณโอเมก้า 3 ที่เหมาะสมก็น่าจะช่วยให้เยื่อหุ้มทารกที่ได้แก่ ถุงน้ำคร่ำมีความแข็งแรง ไม่เกิดการแตกก่อนเวลาอันควร และโอเมก้า 3 ยังช่วยเรื่องระบบภูมิคุ้มกันของทารก ซึ่งอาจมีผลในการลดการคลอดก่อนกำหนดที่มีสาเหตุมาจากการติดเชื้อได้ นอกจากนี้ โอเมก้า 3 ยังช่วยให้มีการไหลเวียนของเลือดในรกเป็นปกติในกลุ่มมารดาที่เป็นโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ ซึ่งจะช่วยป้องกันการเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษที่จะเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดการคลอดก่อนกำหนด1
เอกสารอ้างอิง
1. Politano CA, Lopez-Berroa J.
Omega-3
Fatty Acids and Fecundation, Pregnancy and Breastfeeding. Rev Bras Ginecol
Obstet 2020;42:160-4.
รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์
โอเมก้า 3 จะเป็นกรดไขมันในกลุ่มกรดไขมันที่ไม่อิ่มตัวสายยาว ซึ่งอาจจะแบ่งย่อยเป็น 2 ชนิด ได้แก่ EPA (eicosapentaenoic acid) และ DHA (docosahexaenoic acid) โดยที่โอเมก้า 3 จะพบมากในปลา ในการรับประทานอาหารปกติมักมีโอกาสที่จะได้รับโอเมก้า 3 ไม่เพียงพอ การเสริมโอเมก้า 3 จึงอาจจำเป็น ซึ่งมีการศึกษาพบว่าในมารดาที่มีบุตรยาก การเสริมโอเมก้า 3 จะช่วยในเรื่องคุณภาพของไข่และการพัฒนาการของตัวอ่อนในระหว่างการทำเด็กหลอดแก้ว ทำให้เพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์และเพิ่มการเกิดมีชีพ (คือการเกิดทารกที่มีชีวิตหรือทารกมีสัญญาณชีพหลังการเกิด) ซึ่งจะทำให้มารดามีโอกาสที่จะได้ลูกตามความต้องการสูงขึ้น นอกจากนี้ การเสริมโอเมก้า 3 ในผู้ชาย จะช่วยในกระบวนการการสร้างน้ำเชื้อให้ดีขึ้นด้วย1
เอกสารอ้างอิง
1. Politano CA, Lopez-Berroa J.
Omega-3
Fatty Acids and Fecundation, Pregnancy and Breastfeeding. Rev Bras Ginecol
Obstet 2020;42:160-4.
รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์
การสอนให้แม่มีความรู้ความเข้าใจและสามารถมีทักษะที่จะปฏิบัติการให้นมลูกได้นั้น การจัดรูปแบบการเรียนการสอนมีความสำคัญต่อผลลัพธ์ของการเรียนการสอน โดยมีการศึกษาในสอนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในมารดาที่ลูกที่มีภาวะปากแหว่งเพดาโหว่ ซึ่งจะมีความยากลำบากที่จะให้นมแม่โดยใช้สื่อที่มีทั้งภาพและเสียงเปรียบเทียบกับการจัดรูปแบบการบรรยายตามปกติพบว่า มารดาที่ได้รับการสอนโดยสื่อที่มีทั้งภาพและเสียงสามารถเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้มากกว่า ซึ่งสอดคล้องกับผลลัพธ์การเจริญเติบโตของทารก1 ดังนั้น บุคลากรทางการแพทย์ควรให้ความสำคัญกับการเลือกรูปแบบและสื่อที่จะใช้ในการเรียนการสอนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
เอกสารอ้างอิง
1. Murthy PS, Deshmukh S, Murthy S.
Assisted breastfeeding technique to improve knowledge, attitude, and practices
of mothers with cleft lip- and palate-affected infants: A randomized trial.
Spec Care Dentist 2020;40:273-9.
รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์
การเกิดภาวะเลือดไปเลี้ยงสมองของทารกไม่เพียงพอเกิดได้ทั้งในระยะก่อนคลอด ระยะคลอด และระยะหลังคลอด โดยมักเกิดขึ้นในระยะคลอดมากที่สุด ซึ่งการที่เลือดไปเลี้ยงสมองทารกไม่เพีบงพอจะทำให้สมองเกิดการขาดออกซิเจน ทำให้เกิดความเสียหายแก่สมอง โดยที่หากมีอาการรุนแรงจะทำให้เกิดการเสียหายของสมองที่ถาวร (cerebral palsy) ได้ อย่างไรก็ตาม มีการศึกษาถึงการเกิดภาวะเลือดไปเลี้ยงสมองของทารกไม่เพียงพอในระยะหลังคลอดพบว่ามีปัจจัยที่พบร่วมกัน คือ การเกิดภาวะเลือดไปเลี้ยงสมองของทารกไม่เพียงพอในขณะที่มารดาโอบกอดทารกเนื้อแนบเนื้อและให้ลูกกินนมแม่1 แม้ว่าอัตราการเกิดภาวะเลือดไปเลี้ยงสมองของทารกไม่เพียงพอในทารกหลังคลอดขณะกินนมแม่จะพบน้อย แต่การเกิดภาวะเลือดไปเลี้ยงสมองของทารกไม่เพียงพออาจจะก่อให้เกิดความพิการทางสมองของทารกอย่างถาวะได้ การให้ความรู้แก่มารดาถึงภาวะการเกิดภาวะเลือดไปเลี้ยงสมองของทารกไม่เพียงพอและสอนให้มารดาสามารถสังเกตอาการที่ผิดปกติของทารกจะช่วยให้สามารถทำการให้การดูแลรักษาทารกได้รวดเร็ว ซึ่งจะช่วยทั้งลดการเกิดความพิการทางสมองของทารกอย่างถาวรและช่วยในการส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ด้วย
เอกสารอ้างอิง
1. Miyazawa T, Itabashi K, Tamura M,
Suzuki H, Ikenoue T, Prevention Recurrence Committee JOCSfCP. Unsupervised
breastfeeding was related to sudden unexpected postnatal collapse during early
skin-to-skin contact in cerebral palsy cases. Acta Paediatr 2020;109:1154-61.
รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์
สัญชาตญาณหรือความรู้สึกพื้นฐานของมารดาที่ให้กำเนิดลูกมักมีความต้องการที่จะเลี้ยงลูกด้วยนมตนเอง ยิ่งมารดายิ่งได้ทราบถึงประโยชน์และความสำคัญของการให้ลูกได้กินนมแม่แล้ว หากไม่สามารถให้นมลูกด้วยตนเองได้ อาจมีความวิตกกังวล หดหู่ รู้สึกผิด หรือมีอาการซึมเศร้าได้ มีการศึกษาที่พบว่า การให้ลูกได้กินนมแม่ยิ่งนานพบว่าจะยิ่งช่วยลดความวิตกกังวลของมารดาลงได้1 ซึ่งเป็นไปได้ว่า การที่มารดาสามารถให้ลูกกินนมแม่ได้จะสามารถตอบสนองต่อสัญชาตญาณหรือความรู้สึกพื้นฐานของการเป็นมารดา ซึ่งทำให้ลดความวิตกกังวลลงได้ ในการศึกษาเดียวกัน ยังพบอีกว่ามารดาที่ให้ลูกกินนมแม่จะพบอาการซึมเศร้าหลังคลอดน้อยกว่ามารดาที่ไม่ได้ให้ลูกกินนมแม่ด้วย ดังนั้น “การปฏิบัติตามธรรมชาติของการพัฒนาการของสิ่งมีชีวิตที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่จะช่วยป้องกันและลดการเกิดภาวะตึงเครียดและซึมเศร้าในระยะหลังคลอดของมารดาลงได้ ”
1. Miksic S, Uglesic B, Jakab J,
Holik D, Milostic Srb A, Degmecic D. Positive Effect of Breastfeeding on Child
Development, Anxiety, and Postpartum Depression. Int J Environ Res Public
Health 2020;17.
เรื่องนำทาง
แหล่งความรู้ เกี่ยวกับสูติ-นรีเวช (Obstetrics-Gynecology)