คลังเก็บหมวดหมู่: การตั้งครรภ์และการคลอด ความเสี่ยงสูงที่ต้องใส่ใจ

การตั้งครรภ์และการคลอด ความเสี่ยงสูงที่ต้องใส่ใจ

การรณรงค์การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ทางสื่อโทรทัศน์

IMG_2938

รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์

? ? ? ? ? ? สื่อทางโทรทัศน์ในปัจจุบันยังคงเป็นสื่อที่มีความสำคัญ แม้ในยุคดิจิทัลที่มีการใช้สื่อทางอินเตอร์เน็ตเพิ่มมากขึ้นก็ตาม เนื่องจากสื่อทางโทรทัศน์ยังเป็นสื่อที่เข้าถึงง่ายและประชาชนมีความคุ้นเคยกับสื่อชนิดนี้มานาน การรณรงค์การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ที่มีความพยายามจะเพิ่มอัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในประเทศไทย มีการสื่อสารรณรงค์ที่หลากหลาย แต่ยังมีความจำกัดในสื่อทางโทรทัศน์ เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการทำโฆษณาและออกอากาศมีค่าใช้จ่ายที่สูง อย่างไรก็ตาม มีการศึกษาในประเทศเวียดนามที่มีการลงทุนโฆษณาเรื่องการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว พบว่า สามารถเพิ่มอัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวได้ 1.3-3.3 เท่า1 คิดแล้ว หากเป็นการลงทุนการเพิ่มประชากรที่มีคุณภาพและสุขภาพที่ดี โดยการเริ่มต้นจากการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ก็น่าจะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่รัฐบาลน่าจะนำไปศึกษาและวางแผนในการพัฒนาชาติ

เอกสารอ้างอิง

  1. Nguyen TT, Alayon S, Jimerson A, et al. The Association of a Large-Scale Television Campaign With Exclusive Breastfeeding Prevalence in Vietnam. Am J Public Health 2017;107:312-8.

การให้ลูกนอนเตียงเดียวกันส่งผลต่อการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างไร

IMG_2920

รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์

? ? ? ? ? ? ? ?ในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ การให้ลูกนอนเตียงเดียวกันส่งผลดีต่อการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เนื่องจากมารดาจะสังเกตเห็นอาการที่บ่งบอกว่าทารกหิวได้อย่างสะดวก และตอบสนองโดยการให้ลูกกินนมแม่ได้อย่างเหมาะสม ซึ่งจะส่งผลต่ออัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่และระยะเวลาการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ที่นานขึ้น อย่างไรก็ตาม สมาคมกุมารแพทย์แห่งสหรัฐอเมริกาแนะนำให้มารดาและทารกนอนห้องเดียวกัน1 เนื่องจากมีความวิตกกังวลเรื่องการเกิดการเสียชีวิตของทารกแรกเกิดเฉียบพลันจากการขาดอากาศหายใจ ซึ่งพบมีความเสี่ยงสูงขึ้นหากมารดาและทารกนอนเตียงเดียวกัน วามเสี่ยงจะสูงขึ้นในมารดาที่อายุน้อย ดื่มแอลกอฮอล์ และสูบบุหรี่ นอกจากนี้ หากบนเตียงมีหมอนหรือผ้าห่มที่นิ่มเกินไป หรือมีช่องหรือซอกหลืบที่ทารกจะตกลงไปและเกิดอันตรายได้จะทำให้มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น ดังนั้น การเลือกที่จะให้ทารกนอนเตียงเดียวกันกับมารดาเพื่อประโยชน์ในการสังเกตอาการที่บ่งบอกว่าทารกหิวได้ดีนั้น สามารถทำได้โดยหากมีพื้นที่ที่ปลอดภัยที่จะนอนร่วมกัน ในประเทศไทย การนอนบนพื้นที่ราบเรียบยังคงมีการปฏิบัติกันอยู่ ซึ่งหากมารดานอนบนพื้นอยู่ใกล้กับทารกจะได้ผลประโยชน์เช่นเดียวกันกับการที่นอนร่วมเตียงเดียวกันโดยลดความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายแก่ทารกได้

เอกสารอ้างอิง

  1. Moon RY, Mathews A, Joyner BL, Oden RP, He J, McCarter R, Jr. Impact of a Randomized Controlled Trial to Reduce Bedsharing on Breastfeeding Rates and Duration for African-American Infants. J Community Health 2017.

แม่กินอาหารรสเค็มมากอาจมีผลต่อการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่

IMG_2942

รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์

????????? โดยทั่วไป หากมารดารับประทานอาหารที่หลากหลายในปริมาณที่พอเหมาะ ค่าของเกลือแร่ที่อยู่ในน้ำนมจะคงที่ไม่มีความผิดปกติ แต่ในกรณีที่มารดาเจ็บป่วยรุนแรง ร่างกายขาดน้ำรุนแรง จนเกิดภาวะเกลือโซเดียมในกระแสเลือดสูง (hypernatremia) จะส่งผลทำให้เกลือโซเดียมในน้ำนมสูง และทำให้เกิดภาวะเกลือโซเดียมในทารกที่กินนมแม่อย่างเดียวสูงได้1 อย่างไรก็ตาม สภาวะเหล่านี้มักเกิดเมื่อมารดามีอาการเจ็บป่วยรุนแรง ซึ่งเมื่อมารดามีอาการรุนแรง อ่อนเปลี้ย สับสน หรือมีอาการชักเกร็ง ปกติแล้ว มารดาจะไม่สามารถให้นมได้อยู่แล้ว ดังนั้น ความกังวลว่าหากมารดามีภาวะเกลือโซเดียมสูงที่จะส่งผลเสียต่อทารกที่กินนมแม่อย่างเดียว จึงมีโอกาสเกิดได้น้อยในภาวะปกติ แต่ในกรณีที่มารดากินอาหารเค็มมากอย่างต่อเนื่องหรือกินผงชูรสที่มีปริมาณเกลือโซเดียมอยู่ด้วยมากกว่าปกติ ก็ควรระมัดระวังว่าอาจทำให้เกิดภาวะเกลือโซเดียมในทารกสูงได้ โดยเฉพาะในทารกที่กินนมแม่อย่างเดียวในปริมาณที่ไม่เพียงพอ ซึ่งจะมีความเสี่ยงในการเกิดภาวะตัวเหลืองเพิ่มขึ้นด้วย

เอกสารอ้างอิง

  1. Mujawar NS, Jaiswal AN. Hypernatremia in the Neonate: Neonatal Hypernatremia and Hypernatremic Dehydration in Neonates Receiving Exclusive Breastfeeding. Indian J Crit Care Med 2017;21:30-3.

รูปแบบการให้บริการที่สนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่

IMG_3711

รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์

????????? การให้ความรู้ให้มารดาเห็นถึงความสำคัญและความจำเป็นในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่มีเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ เมื่อมารดาตั้งครรภ์ในระหว่างการฝากครรภ์ควรมีการจัดระบบหรือรูปแบบการให้ความรู้เรื่องการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ตั้งแต่ในระยะแรก การให้คำปรึกษา หากทำได้ ควรจัดให้เหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงที่มารดาต้องเผชิญในแต่ละระยะ และอาจต้องเพิ่มในมารดาบางคนที่มีความเสี่ยงที่แตกต่างกันหรือมีลักษณะเฉพาะ การให้คำปรึกษาเป็นกลุ่มมักให้ความรู้ในลักษณะทั่ว ๆ ไปไม่จำเพาะ ดังนั้นในมารดาที่มีความเสี่ยงที่เฉพาะ อาจต้องพิจารณาแยกให้คำปรึกษารายคน โดยการให้คำปรึกษาที่มารดาสามารถพูดคุยตอบโต้ซักถามผู้ให้คำปรึกษาได้ผลดีกว่าการเปิดสื่อวิดีโอ สำหรับช่วงเวลาที่ให้คำปรึกษาควรมีการจัดเป็นระยะทั้งก่อนและหลังคลอดราว 4-8 ครั้ง เพื่อให้มารดาได้รับความรู้ ฝึกทักษะหรือได้รับคำปรึกษาที่เหมาะสมกับแต่ละช่วงเวลา1

เอกสารอ้างอิง

  1. McFadden A, Gavine A, Renfrew MJ, et al. Support for healthy breastfeeding mothers with healthy term babies. Cochrane Database Syst Rev 2017;2:CD001141.

 

การรับประทาน DHA ในระหว่างการตั้งครรภ์

IMG_3739

รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์

????????? มารดาต้องการสารอาหารที่มีประโยชน์ในระหว่างการตั้งครรภ์โดยต้องมีความหลากหลาย ครบถ้วนและเพียงพอ ซึ่งจะเป็นประโยน์แก่ทารก เมื่อมารดารับประทานอาหารที่ดี ไม่มีภาวะขาดสารอาหาร ย่อมส่งผลดีต่อการเจริญเติบโตของทารก โดยทั่วไป ในมารดาที่ปกติ การแนะนำการรับประทานอาหาร จะแนะนำให้รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และแบ่งมื้อรับประทานอาหารให้บ่อยขึ้น โดยมีมื้ออาหารว่างระหว่างมื้ออาหารปกติ แต่การรับประทานอาหารในแต่ละมื้อจะน้อยลง จะทำให้มารดารับประทานอาหารได้ดี ไม่แน่นท้อง การย่อยและการดูดซึมสารอาหารก็ทำได้ดีด้วย ในประเทศสหรัฐอเมริกามีแนวโน้มในการแนะนำให้รับประทาน DHA และวิตามินดีในระหว่างการตั้งครรภ์ เนื่องจากมีข้อมูลว่า อาหารที่รับประทานโดยทั่วไปของมารดามีความเสี่ยงในการขาดสารอาหารเหล่านี้ แต่หากมารดาไม่มีการขาดสารอาหาร การรับประทาน DHA อาจไม่มีส่วนช่วย ซึ่งมีการศึกษาเปรียบเทียบมารดาที่รับประทาน DHA เทียบกับยาหลอก พบว่าทารกไม่ได้มีไอคิวเฉลี่ยแตกต่างกันระหว่างสองกลุ่มที่ศึกษาเมื่อทารกอายุ 7 ปี1 สำหรับในประเทศไทย มีข้อมูลว่า มารดามีความเสี่ยงในการขาดไอโอดีน ธาตุเหล็ก และมีแนวโน้มจะขาดวิตามินดีเช่นเดียวกัน เนื่องจากค่านิยมทางสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป มีการใช้ครีมกันแดด และหลีกเลี่ยงการออกแดดหรือทำงานกลางแจ้งกันมากขึ้น การเสริมในส่วนที่ขาดน่าจะยังมีความจำเป็นขึ้นอยู่กับข้อมูลในแต่ละพื้นที่และแต่ละภาคของประเทศไทยด้วย

เอกสารอ้างอิง

  1. Gould JF, Treyvaud K, Yelland LN, et al. Seven-Year Follow-up of Children Born to Women in a Randomized Trial of Prenatal DHA Supplementation. JAMA 2017;317:1173-5.