คลังเก็บหมวดหมู่: การตั้งครรภ์และการคลอด ความเสี่ยงสูงที่ต้องใส่ใจ

การตั้งครรภ์และการคลอด ความเสี่ยงสูงที่ต้องใส่ใจ

ตารางประมาณค่าความต้องการนมแม่ของทารกปกติต่อวัน

IMG_0712

 

รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์

??????????????? ในทารกปกติ มารดาหรือบุคลากรทางการแพทย์อาจใช้สูตรคำนวณปริมาณน้ำนมที่ทารกต้องการต่อวันได้ดังนี้

น้ำหนักทารก(กิโลกรัม)คูณด้วย 5.5 จะเท่ากับปริมาณน้ำนม(ออนซ์)ที่ทารกควรจะได้รับต่อวัน

?ซึ่งเพื่อให้ดูง่าย ได้จัดทำเป็นตารางน้ำหนักทารกและความต้องการน้ำนม แสดงในตาราง

น้ำหนักทารก?(กิโลกรัม)

ความต้องการนมแม่?(ออนซ์) ต่อวัน นมแม่ (ออนซ์) ต่อมื้อ?(8 มื้อต่อวัน) น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นหลังกินนมแม่(กรัม)
2.5 13.75 1.72 52
2.75 15.125 1.89 57
3 16.5 2.06 62
3.25 17.875 2.23 67
3.5 19.25 2.41 72
3.75 20.625 2.58 77
4 22.0 2.75 83
4.25 23.375 2.92 88
4.5 24.75 3.09 93
4.75 26.125 3.27 98
5 27.5 3.44 103

? ? ? ? ? ? ?หรืออาจใช้น้ำหนักทารก (กิโลกรัม) คูณด้วย 20.6 เท่ากับน้ำหนักของทารกที่เพิ่มขึ้นหลังกินนม (กรัม) หากให้นมทารก 8 มื้อต่อวัน ซึ่งข้อมูลนี้จะช่วยให้มารดาหรือบุคลากรทางการแพทย์ประเมินการให้นมทารกได้อย่างง่ายๆ

เอกสารอ้างอิง

  1. Cadwell K, Turner-Maffei C. Pocket guide for lactation management. 2nd?ed. Burlington: Jones & Bartlett Learning 2014.

 

 

การคำนวณการกินนมของทารกจากน้ำหนักก่อนและหลังกินนม

IMG_0738

รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์

? ? ? ? ? ? ทารกที่กินนมแม่ การสังเกตว่าทารกกินนมได้เพียงพอสามารถสังเกตได้จาก หลังกินนม ทารกดูรู้สึกอิ่มสบาย นอนหลับได้นาน ไม่กระสับกระส่าย ขับถ่ายได้ดี โดยหลังสัปดาห์แรกแล้วทารกควรปัสสาวะวันละ 6-8 ครั้ง อุจจาระวันละ 3 ครั้ง ไม่มีลักษณะอาการขาดน้ำ น้ำหนักทารกขึ้นได้ดีตามเกณฑ์ ซึ่งมารดาจำเป็นต้องมีการติดตามน้ำหนักทารกเทียบกับกราฟการเจริญเติบโตมาตรฐานของทารกที่กินนมแม่ ในกรณีที่สงสัยว่าทารกอาจได้รับนมไม่เพียงพอ การชั่งน้ำหนักทารกก่อนและหลังการกินนมและคำนวณปริมาณน้ำนมที่ทารกได้รับอาจช่วยในการประเมินได้

? ? ? ? ?หลักในการคำนวณ ต้องคำนวณความต้องการของทารกต่อวันก่อน โดยนำ

น้ำหนักทารก (กิโลกรัม) คูณด้วย 5.5 จะเท่ากับปริมาณน้ำนม (ออนซ์) ที่ทารกควรจะได้รับต่อวัน

? ? ? ? ?ตัวอย่างน้ำหนักทารก 3 กิโลกรัม ทารกควรได้รับน้ำนมเท่ากับ 3×5.5 = 16.5 ออนซ์

? ? ? ? ?หากแบ่งให้ทารกวันละ 8 มื้อ มื้อหนึ่งควรได้ราว 2.06 ออนซ์ หรือราว 60 มิลลิลิตร (น้ำหนักน้ำนม 1 มิลลิลิตรจะหนักราว 1 กรัม) ดังนั้นหากทารกชั่งน้ำหนักเพิ่มขึ้นน้อยกว่า 60 กรัม (เครื่องชั่งที่ใช้วัดควรมีความละเอียดของการวัดเพียงพอ) แสดงว่าทารกอาจได้รับนมน้อยเกินไปในมื้อนั้น อย่างไรก็ตาม ในแต่ละมื้อที่ทารกกินนมแม่ ปริมาณอาจแตกต่างกัน การประเมินปริมาณเฉลี่ยต่อวันจะมีความแม่นยำมากกว่า

เอกสารอ้างอิง

  1. Cadwell K, Turner-Maffei C. Pocket guide for lactation management. 2nd?ed. Burlington: Jones & Bartlett Learning 2014.

 

ทารกที่น้ำหนักไม่ขึ้นตามเกณฑ์

IMG_0698

 

รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์

? ? ? ? ? ? ?ในทารกที่กินนมแม่ มารดาบางคนมักมีความวิตกกังวลเรื่องความเพียงพอของปริมาณน้ำนมที่ให้แก่ทารก ซึ่งมารดาควรมีความรู้เกี่ยวกับการประเมินความเพียงพอของน้ำนม โดยทั่วไป มารดาจะให้นมตามความต้องการของทารก การสังเกตว่าทารกกินนมได้เพียงพอสามารถสังเกตได้จาก หลังกินนม ทารกดูรู้สึกอิ่มสบาย นอนหลับได้นาน ไม่กระสับกระส่าย ขับถ่ายได้ดี โดยหลังสัปดาห์แรกแล้วทารกควรปัสสาวะวันละ 6-8 ครั้ง อุจจาระวันละ 3 ครั้ง ไม่มีลักษณะอาการขาดน้ำ น้ำหนักทารกขึ้นได้ดีตามเกณฑ์ ซึ่งมารดาจำเป็นต้องมีการติดตามน้ำหนักทารกเทียบกับกราฟการเจริญเติบโตมาตรฐานของทารกที่กินนมแม่

? ? ? ? ? ? ?ในกรณีที่น้ำหนักทารกไม่ขึ้นตามเกณฑ์ ควรมีการประเมินความเพียงพอของการให้นม โดยการชั่งน้ำหนักทารกก่อนและหลังการกินนมและคำนวณปริมาณน้ำนมที่ทารกได้รับ อย่างไรก็ตาม ในแต่ละมื้อที่ทารกกินนมแม่ ปริมาณอาจแตกต่างกัน การประเมินเฉลี่ยต่อวันจะมีความแม่นยำมากกว่า ซึ่งหากทารกได้รับปริมาณน้ำนมที่เพียงพอแล้ว แต่การเจริญเติบโตหรือน้ำหนักไม่เพิ่ม จำเป็นต้องมีการปรึกษากุมารแพทย์เพื่อหาสาเหตุอื่นๆ ที่ทำให้ทารกเจริญเติบโตช้า แต่หากทารกได้รับน้ำนมไม่เพียงพอ การแนะนำมารดาให้สังเกตอาการหิวของทารก การกระตุ้นให้ทารกกินนมเพิ่มในบางคนที่กินนมช่วงระยะเวลาสั้นๆ แล้วหลับอาจมีความจำเป็น การบีบนวดเต้าเพื่อปรับให้ปริมาณน้ำนมไหลได้ดีขึ้น หรือการกระตุ้นบริเวณมุมปากทารกจะช่วยให้ทารกดูดนมได้มากขึ้น ซึ่งหากกระตุ้นแล้วทารกยังได้รับน้ำนมน้อย การบีบน้ำนมด้วยมือหรือปั๊มนมและป้อนนมเสริมให้กับทารกอาจมีความจำเป็น นอกจากนี้ ทารกควรอยู่ในการติดตามดูแลของแพทย์ เนื่องจากในช่วงแรกของชีวิต การเจริญเติบโตของทารกจะมีการพัฒนาในส่วนของสมองเป็นอย่างมาก การขาดหรือได้รับสารอาหารไม่เพียงพอจะส่งผลต่อพัฒนาการ ความเฉลียวฉลาดเมื่อทารกเติบโตเป็นผู้ใหญ่ได้

เอกสารอ้างอิง

  1. Cadwell K, Turner-Maffei C. Pocket guide for lactation management. 2nd?ed. Burlington: Jones & Bartlett Learning 2014.

ทำไมทารกจึงร้องไห้ขณะให้กินนมแม่

breastfeeding_111

??????????????? รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์

? ? ? ? ? ? ? ? การร้องไห้ของทารก โดยทั่วไปมักเข้าใจว่าทารกหิวต้องการกินนม ส่วนใหญ่ก็มักเป็นเช่นนั้น แต่หากรอจนทารกมีอาการหิวมากจนร้องไห้แล้ว การอุ้มทารกมาให้นมทันที ทารกอาจหงุดหงิดหรือปฏิเสธเต้านมได้ มารดาควรอุ้มทารกไว้ที่อกให้เนื้อแนบเนื้อ รอจนทารกสงบแล้วจึงนำทารกเข้าเต้าอีกครั้ง โดยหลักของการให้นม ควรให้นมตามความต้องการของทารกและไม่จำเป็นต้องรอให้ทารกหิวมากจนร้องไห้ อย่างไรก็ตาม การร้องไห้ของทารกอาจเกิดจากสาเหตุอื่นๆ ได้ ได้แก่ การไม่สบายตัวจากการขับถ่าย ความต้องการการดูแลหรือความอบอุ่นและความรู้สึกปลอดภัยจากมารดา ซึ่งการเอาใจใส่สังเกตถึงระยะเวลาการให้นมลูก อาการที่บ่งบอกว่าทารกหิว หรืออาการที่ไม่สบายจากการขับถ่าย จะทำให้มารดาเข้าใจในภาษากายของทารกในแต่ละคนที่มีความจำเพาะที่แตกต่างกันได้ การที่มารดาได้อยู่ใกล้ชิดกับทารกตลอดเวลาจะสร้างการเรียนรู้และทำให้มารดาดูแลปัญหาการร้องไห้ของทารกได้อย่างเหมาะสม

เอกสารอ้างอิง

  1. Cadwell K, Turner-Maffei C. Pocket guide for lactation management. 2nd?ed. Burlington: Jones & Bartlett Learning 2014.

เหตุใดทารกจึงหงุดหงิดไม่พอใจขณะที่อยู่ที่หน้าอกแม่เพื่อดูดนม

IMG_0692

 

รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์

? ? ? ? ? ? ? ?ในการให้นมแม่แก่ทารก บางครั้งจะพบว่าทารกหงุดหงิดไม่พอใจขณะอยู่ที่หน้าอกมารดา ซึ่งทารกอาจจะแสดงออกโดยการกระสับกระส่าย ผละออกจากเต้านม หรือร้องไห้ ในกรณีเหล่านี้ มารดาหรือผู้ดูแลต้องสังเกตว่า ทารกได้กินนมแม่ครั้งสุดท้ายไปเมื่อไร การให้นมแม่ในครั้งนี้ทารกมีอาการที่บ่งบอกถึงความหิวแล้วหรือไม่ ทารกหงุดหงิดจากการที่ปล่อยให้ทารกหิวจนเกินไปไหม สังเกตการเข้าเต้าของทารกว่าเข้าเต้าได้อย่างเหมาะสมดีแล้วหรือยัง ขณะทารกดูดนมทารกมีการหายใจที่ติดขัดหรือลำบากไหม การเอาใจใส่และสามารถให้คำตอบกับคำถามเหล่านี้ได้ จะทำให้มารดาหรือบุคลากรทางการแพทย์ให้การดูแลหรือช่วยเหลือทารกได้อย่างเหมาะสม

? ? ? ? ? ? ?การช่วยเหลือทารกที่หงุดหงิดไม่พอใจขณะที่อยู่ที่หน้าอกของมารดา หากสาเหตุเป็นจากการที่ไม่ได้ให้นมตามความต้องการของทารก มารดาอาจต้องอุ้มทารกเนื้อแนบเนื้อไว้ที่หน้าอกก่อน รอให้ทารกสงบหรือมีอาการบ่งบอกถึงความหิวแล้วจึงให้นมอีกครั้ง หากเป็นจากท่าที่ให้นมไม่เหมาะสม มารดาอาจควรปรับเปลี่ยนท่าหรืออาจได้รับความช่วยเหลือจากบุคลากรทางการแพทย์ในการสังเกตดูมารดาขณะให้นมและแนะนำการปรับเปลี่ยนท่าที่เหมาะสมในการให้นมลูก หากทารกมีอาการหายใจติดขัดหรือไม่สะดวกขณะดูดนม ทารกอาจมีความเจ็บป่วยหรือไม่สบายได้ โดยเฉพาะหากขณะดูดนมทารกมีริมฝีปากซีดหรือม่วงคล้ำ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจสอบหาสาเหตุที่ผิดปกติของทารก ดังนั้น ในเบื้องต้น การแก้ไขมักทำได้โดยการปรับเปลี่ยนระยะเวลาการให้นมและท่าในการให้นมของทารกให้เหมาะสม แต่หากไม่ได้ผลจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากบุคลากรทางการแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเพื่อหาสาเหตุและแนะนำแนวทางในการแก้ปัญหาและให้การติดตามดูแลทารกอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทารกได้มีการเจริญเติบและพัฒนาการตามวัยที่ดีได้

เอกสารอ้างอิง

  1. Cadwell K, Turner-Maffei C. Pocket guide for lactation management. 2nd?ed. Burlington: Jones & Bartlett Learning 2014.