คลังเก็บหมวดหมู่: การดูแลการคลอดโดยใช้ข้อมูลหลักฐานเชิงประจักษ์

การดูแลการคลอดโดยใช้ข้อมูลหลักฐานเชิงประจักษ์

น้ำนมแม่เริ่มสร้างเมื่อไร

รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์

                      การสร้างน้ำนมแม่ จะเริ่มเมื่อมารดามีอายุครรภ์ประมาณ 16-20 สัปดาห์ โดยต่อมเต้านมจะมีความพร้อมในการสร้างน้ำนม โดยเซลล์ต่อมน้ำนมที่สร้างน้ำนมจะมีการสะสมไขมัน น้ำตาลแลคโตส เคซีน (casein)  และอัลฟาแลคโตอัลบูมิน (α-lactoalbumin)1 อย่างไรก็ตาม ในระหว่างการตั้งครรภ์จะไม่มีการหลั่งน้ำนมเนื่องจากมารดาจะมีระดับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนและเอสโตรเจนที่สร้างจากรกสูงคอยยับยั้งการหลั่งน้ำนม ดังนั้นโดยปกติมักไม่เห็นมีน้ำนมไหลออกในช่วงตั้งครรภ์ ในช่วงนี้เต้านมจะมีการขยายขนาดและมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น น้ำหนักของเต้านมในสตรีปกติจะมีน้ำหนักราว 200 กรัม โดยที่ขณะตั้งครรภ์เต้านมจะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเป็น 500 กรัม2

เอกสารอ้างอิง

  1. Neville MC, Morton J, Umemura S. Lactogenesis. The transition from pregnancy to lactation. Pediatr Clin North Am 2001;48:35-52.
  2. ภาวิน พัวพรพงษ์. รอบรู้เรื่องการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่. นครนายก: ซี.ที. ดอทคอม; 2558.

 

 

การเปลี่ยนแปลงของเต้านมจากช่วงตั้งครรภ์ถึงระยะให้นมบุตร

รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์

                    เต้านมจะมีการเปลี่ยนแปลงในระยะตั้งครรภ์จนถึงให้นมบุตร ซึ่งสามารถแบ่งเป็นสองช่วงหลัก คือระยะสร้างต่อมน้ำนม (mammogenesis) และระยะสร้างน้ำนม (lactogenesis) โดยในระยะเริ่มตั้งครรภ์จะเป็นระยะสร้างต่อมน้ำนม ซึ่งจะมีการพัฒนาการสร้างเซลล์สร้างน้ำนมที่มีขนาดและรูปร่างที่แตกต่างกันพร้อมกับมีการแตกแขนงของท่อน้ำนมออกมากขึ้นในเนื้อเยื่อเต้านม เต้านมจะขยาย ตึงคัดและเจ็บ หัวนมจะมีสีเข้ม คล้ำขึ้น เมื่อการตั้งครรภ์เข้าสู่ไตรมาสที่สอง จึงเริ่มมีการสร้างน้ำนม แต่โดยทั่วไปจะยังไม่มีน้ำนมไหลออกมา จนกระทั่งถึงระยะหลังคลอด จากกลไกของฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงจะกระตุ้นให้มีการหลั่งน้ำนม โดยการที่จะส่งเสริมให้น้ำนมมาดี ควรช่วยให้ทารกเริ่มกินนมแม่เร็วตั้งแต่ในระยะแรกหลังคลอด จัดท่าให้นมที่เหมาะสม ให้นมบ่อย ๆ และให้นมจนเกลี้ยงเต้า1

เอกสารอ้างอิง

  1. ภาวิน พัวพรพงษ์. รอบรู้เรื่องการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่. นครนายก: ซี.ที. ดอทคอม; 2558.

ความเสี่ยงของการใช้สารอาหารอื่นแทนนมแม่

รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์

               ความเสี่ยงจากการไม่ได้กินนมแม่ เกิดจากการขาดการได้รับภูมิคุ้มกันที่มีในนมแม่ ซึ่งเป็นผลให้มีการเจ็บป่วยบ่อย และการขาดความสมดุลของการได้รับสารอาหารที่จำเป็นที่จะช่วยในการพัฒนาการเจริญเติบโตของสมองและการพัฒนาการของลำไส้   สำหรับความเสี่ยงของการใช้สารอาหารอื่น ๆ แทนนมแม่ 1 ได้แก่

  • นมผงดัดแปลงสำหรับทารกอาจจะปนเปื้อนจากความผิดพลาดในการผลิต
  • นมผงดัดแปลงสำหรับทารกอาจจะไม่สะอาด มีเชื้อโรคที่ทำให้ทารกติดเชื้อและเสียชีวิตได้
  • น้ำที่ใช้ล้างขวดนมอาจจะไม่สะอาด หรือน้ำที่ใช้ผสมนมอาจปนเปื้อน
  • ความผิดพลาดในการผสมหรือชงนม โดยอาจจะผสมข้นหรือจางเกินไป ทำให้ทารกเจ็บป่วยได้
  • คนในครอบครัวอาจจะผสมนมเจือจางเพื่อให้ใช้ได้นมขึ้น
  • นมผงดัดแปลงสำหรับทารกอาจจะทำให้ทารกที่ร้องไห้สงบลงได้ แต่จะนำไปสู่ปัญหาเรื่องน้ำหนักเกิน และการใช้อาหารแก้ปัญหาเมื่อมีความรู้สึกทุกข์ใจ
  • น้ำหรือชาที่ให้แทนนม อาจทำให้ทารกกินนมได้น้อยลงเป็นผลให้น้ำหนักตัวขึ้นน้อย
  • การซื้อนมผงดัดแปลงสำหรับทารกเป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นสำหรับครอบครัว ซึ่งหมายถึงการทำให้ค่าใช้จ่ายในด้านอาหารของสมาชิกในครอบครัวลดลงด้วย
  • การตั้งครรภ์ถี่อาจจะเป็นภาระของครอบครัวและสังคม
  • ค่าใช้จ่ายของโรงพยาบาลสูงขึ้นในการจ้างบุคลากร การใช้วัสดุการแพทย์และยาเพื่อใช้ในการดูแลการเจ็บป่วยที่เพิ่มขึ้น

            ความเสี่ยงในการใช้นมผงดัดแปลงสำหรับทารกแทนนมแม่อาจลดลงได้จากความตั้งใจ ใส่ใจในการดูแลการใช้นมผงดัดแปลงสำหรับทารกแทนนมแม่และการดูแลเรื่องความสะอาดในการเตรียม อย่างไรก็ตาม ยังมีความแตกต่างของผลประโยชน์และส่วนประกอบของนมผงดัดแปลงสำหรับทารกกับนมแม่

เอกสารอ้างอิง

  1. ภาวิน พัวพรพงษ์. รอบรู้เรื่องการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่. นครนายก: ซี.ที. ดอทคอม; 2558.

นมแม่อาจช่วยภาวะกระดูกพรุนในวัยทองของมารดาได้

                รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์

           มารดาบางคนอาจมีความกังวลเรื่องภาวะกระดูกพรุนในระหว่างการตั้งครรภ์และให้นมลูก หากมีการรับประทานแคลเซียมในปริมาณที่ไม่เพียงพอ ร่างกายจะไปดึงแคลเซียมจากกระดูกมาใช้ แต่มีการศึกษาพบว่าแม้ในระหว่างการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่จะมีผลต่อระดับแคลเซียมและฟอสฟอรัสในร่างกายมารดา โดยยิ่งระยะเวลาของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ที่นานจะมีผลต่อการสูญเสียมวลกระดูก ซึ่งการสูญเสียมวลกระดูกจะพบภาวะกระดูกพรุนได้ แต่ก็เป็นพียงชั่วคราว1 และเมื่อมารดาหยุดการให้นมลูก มวลกระดูกจะกลับสู่ปกติหรือเพิ่มขึ้นและอาจส่งผลในการป้องกันภาวะกระดูกพรุนในวัยทองได้ ซึ่งควรมีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมต่อไปในอนาคต2

เอกสารอ้างอิง

  1. Hwang IR, Choi YK, Lee WK, et al. Association between prolonged breastfeeding and bone mineral density and osteoporosis in postmenopausal women: KNHANES 2010-2011. Osteoporos Int 2016;27:257-65.
  2. Grimes JP, Wimalawansa SJ. Breastfeeding and postmenopausal osteoporosis. Curr Womens Health Rep 2003;3:193-8.

นมแม่ช่วยคุมกำเนิดในมารดาได้

รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์

                 ในสมัยโบราณ การที่จะให้สตรีเว้นระยะของการมีบุตรสามารถทำได้โดยการให้ลูกกินนมแม่ ซึ่งต่อมาเมื่อมีการศึกษาวิจัยเพิ่มขึ้น พบว่าการให้ลูกกินนมแม่จะช่วยในคุมกำเนิด โดยเหตุผลที่ช่วยในการคุมกำเนิดอธิบายจากการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่จะช่วยชะลอการตกไข่และการมีประจำเดือน1 จึงมีการเรียกวิธีการคุมกำเนิดนี้ว่า “วิธีการคุมกำเนิดโดยการให้นมลูก (Lactation Amenorrhea Method; LAM)” ซึ่งจากการศึกษาพบว่าสามารถช่วยให้มารดาเว้นระยะการมีบุตรได้ โดยประสิทธิภาพของวิธีการคุมกำเนิดโดยการให้นมลูกจะสูงถึงร้อยละ 98 ในการป้องกันการตั้งครรภ์2 โดยมีข้อสังเกตที่จำเป็นต้องมีในการเลือกวิธีการคุมกำเนิดวิธีนี้ 3 ข้อ ได้แก่

         ประการที่หนึ่งคือ มารดาต้องไม่มีประจำเดือน

          ประการที่สอง มารดาต้องเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวทั้งกลางวันและกลางคืน และไม่เว้นช่วงการให้นมลูกที่นานเกินไป

          ประการที่สาม คือ ใช้ได้ในหกเดือนแรกหลังคลอด

          หากมารดาพบว่าไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไข 3 ประการได้ ประสิทธิภาพของการคุมกำเนิดจะลดลง3 มารดาควรคุมกำเนิดด้วยวิธีการคุมกำเนิดอื่นเพิ่มเติมด้วยเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในป้องกันการตั้งครรภ์4 ซึ่งปัจจุบันอัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวในช่วงหกเดือนแรกหลังคลอดในประเทศไทยพบร้อยละ 23 การนำวิธีการคุมกำเนิดโดยการให้นมลูกไปใช้ในช่วงหกเดือนแรกจะช่วยลดการใช้ยาเพื่อคุมกำเนิด อย่างไรก็ตาม ควรให้คำปรึกษามารดาถึงเงื่อนไขการปฏิบัติที่เหมาะสม เนื่องจากมารดายังขาดความรู้และความเข้าใจว่า การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวในช่วงหกเดือนแรกเป็นวิธีการหนึ่งที่ใช้ในการคุมกำเนิดได้5 การรณรงค์ในเรื่องนี้อาจช่วยอัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวให้สูงขึ้น

เอกสารอ้างอิง

  1. Gross BA, Burger H. Breastfeeding patterns and return to fertility in Australian women. Aust N Z J Obstet Gynaecol 2002;42:148-54.
  2. Fabic MS, Choi Y. Assessing the quality of data regarding use of the lactational amenorrhea method. Stud Fam Plann 2013;44:205-21.
  3. Turk R, Terzioglu F, Eroglu K. The use of lactational amenorrhea as a method of family planning in eastern Turkey and influential factors. J Midwifery Womens Health 2010;55:e1-7.
  4. Shaaban OM, Hassen SG, Nour SA, Kames MA, Yones EM. Emergency contraceptive pills as a backup for lactational amenorrhea method (LAM) of contraception: a randomized controlled trial. Contraception 2013;87:363-9.
  5. Ozsoy S, Aksu H, Akdolun Balkaya N, Demirsoy Horta G. Knowledge and Opinions of Postpartum Mothers About the Lactational Amenorrhea Method: The Turkish Experience. Breastfeed Med 2018;13:70-4.