รศ.นพ.ภาวิน
พัวพรพงษ์
มารดาที่มีโรคประจำตัวเรื้อรังที่ต้องมีการดูแลรักษาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ก่อนการตั้งครรภ์ ระยะคลอด จนถึงในระยะหลังคลอดที่มีการให้นมลูก หากพิจารณาถึงข้อมูลการเริ่มการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในกลุ่มนี้จะไม่พบความแตกต่างกันเมื่อเทียบกับมารดาที่ไม่มีโรคเรื้อรัง ซึ่งน่าจะเป็นจากการเริ่มต้นการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เป็นขั้นตอนที่เกิดขึ้นในโรงพยาบาลที่มีบุคลากรทางการแพทย์ให้การดูแล และให้คำปรึกษาที่เหมาะสมเกี่ยวกับโรคเรื้อรังของมารดาและการให้ทารกกินนมแม่ แต่มารดาที่มีโรคเรื้อรังมักจะมีความเสี่ยงที่จะหยุดการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวเร็วกว่ามารดาที่ไม่มีโรคเรื้อรัง1 คำอธิบายในเรื่องนี้น่าจะการที่มารดาที่มีโรคเรื้อรังในระยะหลังคลอดเมื่อมารดาปกติไปติดตามการรักษาโรคเรื้อรัง แพทย์ที่ดูแลอาจจะพิจารณาปรับยาที่ใช้รักษาโรคเรื้อรังซึ่งจะเกิดในกรณีที่มารดาได้รับการปรับยาที่ใช้ในขณะตั้งครรภ์เพื่อป้องกันความเสี่ยงหรืออันตรายที่จะเกิดแก่ทารก ซึ่งหากมีการปรับยาในการรักษาแล้วไม่ได้มีการให้คำปรึกษาในเรื่องการให้ทารกกินนมแม่ได้หรือไม่ หรือมารดาควรปฏิบัติตัวอย่างไรในการให้นมลูกหลังจากที่มีการปรับยาแล้ว ความวิตกกังวลก็จะเกิดกับมารดา และนำไปสู่การหยุดการให้นมลูก โดยมีการปรับเปลี่ยนไปใช้นมผงดัดแปลงสำหรับทารก ซึ่งอาจจะเกิดทั้งกรณีที่ปรับเปลี่ยนเป็นการใช้นมผงดัดแปลงสำหรับทารกอย่างเดียว หรือจะมีการใช้นมผงดัดแปลงสำหรับทารกชั่วคราว หรือในช่วงที่มีการปรับยา ดังนั้น การเอาใจใส่สอบถามมารดาเกี่ยวกับการให้นมบุตรของแพทย์ผู้ดูแลโรคเรื้อรังจึงเป็นสิ่งที่จะช่วยการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวในมารดาที่มีโรคเรื้อรังได้
เอกสารอ้างอิง
1. Scime NV, Patten SB, Tough SC,
Chaput KH. Maternal chronic disease and breastfeeding outcomes: a Canadian
population-based study. J Matern Fetal Neonatal Med 2020:1-8.
รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์
ในการศึกษาข้อมูลการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่จากงานวิจัย ข้อมูลที่มีการบันทึกไว้อย่างชัดเจนหรือมีหลักฐานจากการตรวจสอบทางห้องปฏิบัติการยืนยันจะมีความน่าเชื่อถือมากกว่าข้อมูลที่ได้จากการจดจำของมารดา อย่างไรก็ตาม มีหลาย ๆ งานวิจัยที่ศึกษาข้อมูลการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่โดยใช้การจดจำของมารดา คำถามคือ จะมีความน่าเชื่อถือหรือไม่ หากการถามข้อมูลการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ของมารดาหลังจากผ่านการคลอดไปแล้วเป็นระยะเวลาหนึ่งปี มีการศึกษาถึงความถูกต้องของการใช้การจดจำในการให้ข้อมูลการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในช่วงหลังคลอดที่สามเดือน รูปแบบของการศึกษาทำโดยการสอบถามข้อมูลมารดาหลังคลอดที่หนึ่งปี และมีการเปรียบเทียบข้อมูลที่ได้จากการสอบถามมารดาหลังคลอดที่หนึ่งปีกับข้อมูลรายงานการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ที่มารดารายงานไว้ที่สามเดือนพบว่า ข้อมูลที่ได้จากการจดจำของมารดามีความถูกต้องร้อยละ 77.9 (ความไวร้อยละ 98.3 ความจำเพาะร้อยละ 70.0)1 ซึ่งแม้ว่าจะสามารถยอมรับได้ทางสถิติ แต่จากข้อมูลสะท้อนให้เห็นว่า “เมื่อเวลาผ่านไป ความถูกต้องของการจดจำจะลดลง ซึ่งควรมีการให้น้ำหนักของข้อมูลที่ได้จากการจดจำลดลงตามระยะเวลาที่ยาวนานขึ้นเมื่อมีการสอบถาม”
เอกสารอ้างอิง
1. Schneider BC, Cata-Preta BO, Graf
DD, et al. Validation of maternal recall on exclusive breastfeeding 12 months
after childbirth. Public Health Nutr 2020:1-7.
รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์
ส่วนใหญ่แล้วแม่จะทราบว่า นมแม่ดีที่สุดสำหรับลูก ยิ่งหากแม่เป็นหมอ ยิ่งมีความเข้าใจและเห็นความสำคัญของการให้ลูกได้กินนมแม่ แล้วปัจจัยอะไรที่จะทำให้แม่ที่เป็นหมอสามารถประสบความสำเร็จในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ มีการศึกษาที่หาคำตอบของเรื่องนี้มาให้แล้ว โดยพบว่าความตั้งใจของมารดาที่จะเลี้ยงลูกด้วยนมแม่และปัจจัยในด้านการงานเป็นสองส่วนที่มีความสำคัญ1 ซึ่งหากแม่ที่เป็นหมอมีความตั้งใจของมารดาที่จะเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ จะวางแผนฝากครรภ์และคลอดในโรงพยาบาลที่ส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ที่จะมีระบบการสนับสนุนที่เอื้อที่จะช่วยให้แม่สามารถประสบความสำเร็จในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้ โดยมี การสนับสนุนให้แม่ได้โอบกอดทารกเนื้อแนบเนื้อ และเริ่มการให้นมลูกตั้งแต่ในหนึ่งชั่วโมงแรกหลังคลอด มีการสอนให้แม่เข้าเต้าและจัดท่าให้นมลูก การมีพี่เลี้ยงที่จะให้คำปรึกษา การมีนัดติดตาม โทรศัพท์ หรือมีการเยี่ยมบ้านเพื่อช่วยเหลือและสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ จะเห็นว่า การมีความตั้งใจจะนำไปสู่การขวนขวาย และดำเนินการเพื่อเพิ่มโอกาสของความสำเร็จในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
สำหรับปัจจัยอีกส่วนที่มีความสำคัญเช่นกันคือ ปัจจัยทางด้านการงาน ซึ่งก็คือ สถานพยาบาลที่แม่ทำงานอยู่ โดยจะมีสิ่งที่มีความเกี่ยวข้องตั้งแต่ระยะการลาหลังคลอด และการสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ได้แก่ การมีศูนย์ดูแลเด็กเล็กที่จะช่วยให้แม่สามารถมาให้นมลูกระหว่างการทำงาน หรือการสนับสนุนสถานที่ที่เหมาะสมพร้อมอุปกรณ์ที่จะช่วยในการบีบเก็บนมแม่ระหว่างวันในที่ทำงานรวมทั้งการจัดให้แม่ได้มีเวลาพักระหว่างการทำงานเพื่อมาบีบเก็บน้ำนม ปัจจัยนี้มักจะมีผลต่อการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ที่ยาวนานหลังจากการลาพักหลังคลอดแล้ว
เอกสารอ้างอิง
1. Sattari M, Levine DM, Mramba LK,
et al. Physician Mothers and Breastfeeding: A Cross-Sectional Survey.
Breastfeed Med 2020;15:312-20.
รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์
การสอนให้แม่มีความรู้ความเข้าใจและสามารถมีทักษะที่จะปฏิบัติการให้นมลูกได้นั้น การจัดรูปแบบการเรียนการสอนมีความสำคัญต่อผลลัพธ์ของการเรียนการสอน โดยมีการศึกษาในสอนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในมารดาที่ลูกที่มีภาวะปากแหว่งเพดาโหว่ ซึ่งจะมีความยากลำบากที่จะให้นมแม่โดยใช้สื่อที่มีทั้งภาพและเสียงเปรียบเทียบกับการจัดรูปแบบการบรรยายตามปกติพบว่า มารดาที่ได้รับการสอนโดยสื่อที่มีทั้งภาพและเสียงสามารถเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้มากกว่า ซึ่งสอดคล้องกับผลลัพธ์การเจริญเติบโตของทารก1 ดังนั้น บุคลากรทางการแพทย์ควรให้ความสำคัญกับการเลือกรูปแบบและสื่อที่จะใช้ในการเรียนการสอนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
เอกสารอ้างอิง
1. Murthy PS, Deshmukh S, Murthy S.
Assisted breastfeeding technique to improve knowledge, attitude, and practices
of mothers with cleft lip- and palate-affected infants: A randomized trial.
Spec Care Dentist 2020;40:273-9.
รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์
การเกิดภาวะเลือดไปเลี้ยงสมองของทารกไม่เพียงพอเกิดได้ทั้งในระยะก่อนคลอด ระยะคลอด และระยะหลังคลอด โดยมักเกิดขึ้นในระยะคลอดมากที่สุด ซึ่งการที่เลือดไปเลี้ยงสมองทารกไม่เพีบงพอจะทำให้สมองเกิดการขาดออกซิเจน ทำให้เกิดความเสียหายแก่สมอง โดยที่หากมีอาการรุนแรงจะทำให้เกิดการเสียหายของสมองที่ถาวร (cerebral palsy) ได้ อย่างไรก็ตาม มีการศึกษาถึงการเกิดภาวะเลือดไปเลี้ยงสมองของทารกไม่เพียงพอในระยะหลังคลอดพบว่ามีปัจจัยที่พบร่วมกัน คือ การเกิดภาวะเลือดไปเลี้ยงสมองของทารกไม่เพียงพอในขณะที่มารดาโอบกอดทารกเนื้อแนบเนื้อและให้ลูกกินนมแม่1 แม้ว่าอัตราการเกิดภาวะเลือดไปเลี้ยงสมองของทารกไม่เพียงพอในทารกหลังคลอดขณะกินนมแม่จะพบน้อย แต่การเกิดภาวะเลือดไปเลี้ยงสมองของทารกไม่เพียงพออาจจะก่อให้เกิดความพิการทางสมองของทารกอย่างถาวะได้ การให้ความรู้แก่มารดาถึงภาวะการเกิดภาวะเลือดไปเลี้ยงสมองของทารกไม่เพียงพอและสอนให้มารดาสามารถสังเกตอาการที่ผิดปกติของทารกจะช่วยให้สามารถทำการให้การดูแลรักษาทารกได้รวดเร็ว ซึ่งจะช่วยทั้งลดการเกิดความพิการทางสมองของทารกอย่างถาวรและช่วยในการส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ด้วย
เอกสารอ้างอิง
1. Miyazawa T, Itabashi K, Tamura M,
Suzuki H, Ikenoue T, Prevention Recurrence Committee JOCSfCP. Unsupervised
breastfeeding was related to sudden unexpected postnatal collapse during early
skin-to-skin contact in cerebral palsy cases. Acta Paediatr 2020;109:1154-61.
เรื่องนำทาง
แหล่งความรู้ เกี่ยวกับสูติ-นรีเวช (Obstetrics-Gynecology)