รศ.พญ.อุมาพร สุทัศน์วรวุฒิ
????????? ความสำคัญของภาวะโภชนาการของสตรีตั้งครรภ์ที่มีผลทั้งสุขภาพมารดาและทารก โดยในสตรีตั้งครรภ์ต้องการพลังงานเพิ่มขึ้น โปรตีน แร่ธาตุและวิตามินบางชนิดที่มีความเสี่ยงต่อการขาด พลังงานต้องการเพิ่มขึ้น 475 กิโลแคลอรีต่อวัน โปรตีนต้องการเพิ่มมากขึ้นในไตรมาสที่หนึ่ง 0.5 กรัมต่อวัน ไตรมาสที่สอง 7.7 กรัมต่อวัน และไตรมาสที่สาม 24.9 กรัมต่อวัน วิตามินเอต้องการเพิ่มขึ้นวันละ 200 RE โฟเลทต้องการเพิ่มขึ้นวันละ 200 ไมโครกรัม เหล็กต้องการเพิ่มขึ้นวันละ 60 มิลลิกรัม ไอโอดีนต้องการเพิ่มขึ้นวันละ 50 ไมโครกรัม
? ? ? ? ? ?สตรีที่ให้นมบุตรต้องการพลังงานเพิ่มขึ้น 500 กิโลแคลอรีต่อวันในช่วงหกเดือนแรกหลังคลอด และต้องการ 460 กิโลแคลอรีต่อวันในเดือนที่หกถึงเดือนที่สิบสองหลังคลอด โปรตีนเพิ่มขึ้นในหกเดือนแรกหลังคลอดราว 14-16 กรัมต่อวัน และในช่วงหกเดือนถึงสิบสองเดือนหลังคลอด 10 กรัมต่อวัน วิตามินเอต้องการเพิ่มขึ้นวันละ 375 RE โฟเลทต้องการเพิ่มขึ้นวันละ 100 ไมโครกรัม เหล็กต้องการเพิ่มขึ้นวันละ 15 มิลลิกรัม ไอโอดีนต้องการเพิ่มขึ้นวันละ 50 ไมโครกรัม
? ? ? ? ? ?กระทรวงสาธารณสุขได้มีนโยบายในการเสริมไอโอดีนให้แก่สตรีตั้งครรภ์และให้นมบุตร ตั้งแต่ ปี 2553 โดยจัดให้หญิงตั้งครรภ์ทุกคนได้รับยาเม็ดเสริมไอโอดีนฟรี จนถึงระยะให้นมบุตรถึง 6 เดือน ยาที่ให้องค์การเภสัชกรรมผลิตยาเม็ดวิตามินและเกลือแร่สำหรับหญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตร ได้แก่ Triferdine 150 ประกอบด้วย ไอโอดีน 150 ไมโครกรัม ธาตุเหล็ก 60 มิลลิกรัมและโฟเลท 400 ไมโครกรัม หรือพิจารณา Iodine GPO 150 ประกอบด้วยไอโอดีน 150 ไมโครกรัมใช้สำหรับหญิงตั้งครรภ์และหลังคลอดที่เป็นโรคธาลัสซีเมียรุนแรงและเสี่ยงต่อการได้ธาตุเหล็กมากเกินไป
? ? ? ? ? ?อาหารปกติที่สตรีควรรับประทานควรพิจารณาตามธงโภชนาการ ได้แก่ ข้าว วันละ 8-12 ทัพพี ผัก วันละ 4-6 ทัพพี ผลไม้ วันละ 3-5 ส่วน นม วันละ 2-3 แก้ว เนื้อสัตว์ วันละ 6-12 ช้อนโต๊ะ และน้ำมัน น้ำตาล เกลือ วันละน้อย ๆ
? ? ? ? ? สำหรับตัวอย่างอาหารที่ควรเพิ่มใน 1 วันสำหรับแม่ที่ให้นมลูก (ประมาณ 500 กิโลแคลอรี โปรตีน 20 กรัม) ได้แก่ นม 1 แก้ว ข้าวสวย 2 ทัพพี เนื้อสัตว์สุก 3 ช้อนโต๊ะ ผักและผลไม้ อย่างละ 1-2 ส่วน หรือ นม 1 แก้ว และก๋วยเตี๋ยวน้ำ 1 ชาม
ที่มาจาก การประชุมเรื่องโภชนการมารดาตั้งครรภ์และให้นมบุตร ในการประชุมเครือข่ายการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ภาคเหนือ ที่คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ วันที่ 30 พฤศจิกายน- 1 ธันวาคม 2560