แนวทางในการสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างน้อย 6 เดือน

 

 

? ? ? ? ? นมแม่เป็นอาหารสำหรับทารกแรกเกิดของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมมาตลอดช่วงสองร้อยล้านปี ยงสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมมาตลอดช่วงสองร้อยล้านปีลักษณะของนมสัตว์แต่ละชนิดจะมีความแตกต่างกันตามการดำรงชีวิต ความแตกต่างของโปรตีนและไขมันที่ทำให้เหมาะสมในช่วงเวลาที่ให้ในระหว่างวัน โดยที่ลักษณะหนึ่งของนมแม่ที่เหมือนกันคือ นมแม่มีสารอาหาร ภูมิคุ้มกัน สารชีวภาพ และสารอื่นๆ ที่ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นช่วยในการเจริญเติบโตและพัฒนาการ ปกป้องการติดเชื้อที่ส่งต่อให้เกิดการดำรงเผ่าพันธุ์มาจนทุกวันนี้

? ? ? ? ? ?นมแม่ดีมีประโยชน์ และได้รับการใช้เป็นเกณฑ์มาตรฐานสำหรับการเลี้ยงทารก1 โดยตั้งแต่ พ.ศ.2522 องค์การอนามัยโลก แนะนำให้แม่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว โดยไม่ให้อาหารอื่น แม้แต่น้ำในระยะทารกอายุ 4-6 เดือนแรก ต่อมาในปี พ.ศ.2544 องค์การอนามัยโลกแนะนำให้แม่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว 6 เดือนเต็ม2 จึงเริ่มป้อนอาหารอื่น และน้ำ พร้อมกินนมแม่ควบคู่ไปด้วย จนลูกอายุ 2 ปี หรือนานกว่านั้น การดำเนินงานด้านการส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในประเทศไทยเริ่มตั้งแต่แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 4 (พ.ศ.2520-2524) และต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน โดยในปี พ.ศ.2547 กระทรวงสาธารณสุขได้ประกาศนโยบาย แนะนำให้แม่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวอย่างน้อย 6 เดือน และตั้งเป้าหมายไว้ว่า เมื่อสิ้นแผนพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติฉบับที่ 9 (พ.ศ.2549) ทารกควรได้รับนมแม่อย่างเดียวนาน 6 เดือน อย่างน้อยร้อยละ 30?แต่ถ้าติดตามผลการดำเนินการเรื่องการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่นั้นพบว่า การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวอย่างน้อย 4 เดือนที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2536-2544 พบตั้งแต่ร้อยละ 1.0-16.33 ซึ่งตัวเลขของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ยังอยู่ในเกณฑ์ต่ำและไม่บรรลุเป้าหมาย โดยปัจจัยที่มีผลต่อการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ได้แก่ ความรู้ของมารดาเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ อาชีพของมารดาทั้งก่อนและหลังการมีบุตรคนล่าสุด ภาวะผิดปกติหรืออาการแทรกซ้อนของเด็กขณะอยู่ในโรงพยาบาล ระยะเวลาที่คิดจะเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ของมารดา ความพึงพอใจของมารดาที่ได้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ การได้รับการสนับสนุนจากสามี การให้ลูกสัมผัสและดูดนมแม่ในชั่วโมงแรกของชีวิต การปฏิบัติตามบันได 10 ขั้นสู่ความสำเร็จการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ที่มารดาได้รับคำแนะนำจากสถานบริการ การได้รับความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่และการมีกลุ่มช่วยเหลือแม่ในหมู่บ้าน3-5

? ? ? ? ? ? เมื่อทบทวนอัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ จากข้อมูลการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติโดยการสนับสนุนของยูนิเซฟในปี 2550 การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างน้อย 6 เดือนจากการสำรวจ 43000 ครัวเรือน พบว่ามีเพียงร้อยละ 5.46? ซึ่งประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ต่ำที่สุดในโลก6 ?สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ที่ทุกคนต่างเห็นประโยชน์ แต่ในการปฏิบัติจริงกลับมีผู้ที่ปฏิบัติได้เพียงจำนวนน้อย คำถามจึงเกิดขึ้นว่า ?เมื่อเห็นคุณค่าของนมแม่แล้วใยไม่นำไปใช้ประโยชน์? ปัญหาอุปสรรคคืออะไร? จากการศึกษาและวิเคราะห์ แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ปัญหาทางด้านกายภาพและสุขภาพของมารดาและทารก และปัญหาด้านพฤติกรรมการเลี้ยงดูของมารดาและครอบครัว

ปัญหาและแนวทางสนับสนุน

? ? ? ? ? ?ปัญหาทางด้านกายภาพของเต้านมมารดาที่พบบ่อยตั้งแต่ก่อนและในระยะตั้งครรภ์ ได้แก่ หัวนมบอด หัวนมสั้นและหัวนมบุ๋ม ซึ่งสิ่งเหล่านี้ หากมีการตรวจวินิจฉัยตั้งแต่เริ่มต้นฝากครรภ์ในระยะแรก7 ให้การแก้ไขด้วยการกระตุ้นดึงหัวนม (Hoffman maneuver) หรือใช้เครื่องมือช่วยดูดหัวนม (Nipple puller) จะสามารถลดปัญหาเหล่านี้ได้

? ? ? ? ? ?ปัญหาทางด้านกายภาพของเต้านมมารดาที่พบบ่อยในระยะหลังคลอด ได้แก่ หัวนมแตก เต้านมอักเสบและเป็นหนอง ซึ่งเกิดจากลักษณะการดูดนมแม่ของลูกไม่เหมาะสม การป้องกันและแก้ไขต้องอาศัย การเรียนรู้ของมารดาจากการเอาใจใส่ในการสอนของผู้สอนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ การจัดท่าที่เหมะสม การให้ลูกอมหัวนมและลานหัวนม งับแล้วใช้เหงือกกดบริเวณลานหัวนมด้านบนร่วมกับใช้ลิ้นกดลานหัวนมด้านล่าง ขณะดูดนมกล้ามเนื้อลิ้นจะหดตัวจากปลายไปสู่โคนเกิดจังหวะการดูดนมเป็นระลอก7 ทำให้น้ำนมไหลออกดีผิดกับการดูดนมที่ลูกดูดนมเฉพาะนม น้ำนมจะไม่ค่อยออก ลูกก็ต้องดูดแรงขึ้น เกิดแผลแตกที่หัวนม และเมื่อมีการติดเชื้อจากบริเวณผิวหนังเข้าไปในแผลก็ทำให้เกิดเต้านมอักเสบและเป็นหนองได้

? ? ? ? ? ? ปัญหาทางด้านสุขภาพของมารดา มารดามีโรคประจำตัวที่เป็นข้อห้ามในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ได้แก่ มีการติดเชื้อเอชไอวี ติดเชื้อวัณโรคที่ยังไม่ได้รับการรักษา ติดเชื้องูสวัดบริเวณผิวหนังที่เต้านม หรือมีการใช้ยาต้านมะเร็ง ยาที่มีสารรังสี ยาเสพติดและแอลกอฮอล์??????? การให้การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในคุณแม่เหล่านี้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อเปรียบเทียบถึงข้อดีข้อเสียของการเลือกให้นมแม่ แต่สำหรับสารเสพติดและแอลกอฮอล์หากงดแล้ว ก็สามารถให้นมแม่ได้

? ? ? ? ? ? ปัญหาทางด้านกายภาพและสุขภาพของทารกแรกเกิดที่พบได้แก่ ภาวะลิ้นติด (Tongue tie) ปากแหว่งเพดานโหว่ หายใจเร็ว ทารกตัวเหลืองหรือจำเป็นต้องย้ายเข้าดูแลในหอผู้ป่วยทารกวิกฤต ปัญหาเหล่านี้จะรบกวนกลไกการดูดนมแม่ หรืออาจชะลอการให้กระตุ้นการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในระยะแรก หากแต่มีความตั้งใจในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ อาจให้นมแม่โดยการป้อนด้วยแก้วก่อนระหว่างรอการแก้ไขในแต่ละปัญหา

? ? ? ? ? ? ปัญหาทางด้านการเลี้ยงดูของมารดา ปัญหานี้ส่วนใหญ่เข้าใจว่ามารดารู้ว่านมแม่มีประโยชน์แต่ไม่เข้าใจในการปฏิบัติจริง ขั้นตอนที่จะทำให้ประสบความสำเร็จในการให้การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ต้องเริ่มตั้งแต่การให้ความรู้ ย้ำเรื่องประโยชน์และความเพียงพอของนมแม่ที่มีให้กับลูกทุกคนหากให้ถูกวิธี เมื่อมารดามีความตั้งใจ มุ่งมั่นแล้ว จุดเริ่มต้นอีกจุดคือ หลังคลอดทันทีหรือภายในครึ่งหรือหนึ่งชั่วโมงแรกควรให้มารดาและบุตรได้สัมผัสกัน สร้างสายใยสายสัมพันธ์ระหว่างกันและกระตุ้นการให้นมแม่เลย2,4 จากจุดนี้ติดตามต่อโดยการให้การกระตุ้นนมแม่ทุกสองหรือสามชั่วโมง และให้มารดาอยู่ร่วมกับทารกตลอดเวลาที่อยู่ในโรงพยาบาล (Rooming-in) 2,4 ?ขณะที่มารดาและบุตรอยู่ด้วยกันก็สร้างให้เกิดกระบวนการการเรียนรู้การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ภายใต้การเอาใจใส่อย่างต่อเนื่องของบุคลากรทางการแพทย์ จนกระทั่งมารดาสามารถเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้อย่างถูกต้อง ถูกท่า สบายและสามารถให้ได้นานพอ และน้ำนมพอก่อนกลับบ้าน เมื่อมารดากลับบ้านไปแล้ว การเปิดช่องทางให้มีการปรึกษาเรื่องการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ได้แก่ การมีสายด่วนนมแม่รับปรึกษาปัญหาการการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ตลอด 24 ชั่วโมง การมีคลินิกนมแม่เพื่อรับแก้ปัญหาในกรณีที่คุณแม่ต้องการผู้ฝึกหัดการการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ นอกจากนี้ การเยี่ยมบ้านของทีมสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในพื้นที่จะช่วยค้นหาปัญหาการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่และทำการแก้ไขเชิงรุก

? ? ? ? ? ? ปัญหาทางด้านการเลี้ยงดูของครอบครัว ครอบครัวไทยเป็นครอบครัวใหญ่ โดยในบ้านจะมีหลักของครอบครัวเป็นผู้นำความคิด อาจจะเป็น ปู่ ย่า ตา ยาย ลุง ป้า หรือสามี บุคคลเหล่านี้จำเป็นต้องได้รับความรู้เรื่องประโยชน์ของนมแม่ ปลูกฝังค่านิยมที่ถูกต้องในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ และเชิญชวนมาเป็นแนวร่วมในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เนื่องจากบุคคลเหล่านี้จะมีศักยภาพในการบริหารจัดการ สอดส่องดูแลเอาในใส่ในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ของมารดาขณะที่อยู่ที่บ้าน และเป็นผู้ช่วยในกรณีมารดาต้องไปทำงาน ปัญหาเรื่องมารดาต้องไปทำงานก็เป็นปัญหาใหญ่อีกปัญหาหนึ่งที่ต้องสอนให้มารดารู้จักบีบนมแม่และรู้จักเก็บรักษาอย่างถูกต้อง นมแม่ในอุณหภูมิปกติจะเก็บไว้ได้นาน 6 ชั่วโมง เก็บไว้ในกระติกใส่น้ำแข็งได้นาน 24 ชั่วโมงหากไม่มีตู้เย็นที่ทำงาน เก็บไว้ในตู้เย็นช่องธรรมดาได้นาน 5-8 วัน เก็บไว้ในช่องแข็งในตู้เย็นชนิดประตูเดียวได้นาน 2 สัปดาห์ เก็บไว้ในช่องแข็งในตู้เย็นชนิดประตูแยกได้นาน 3-6 เดือน และในกรณีที่นำนมแม่ที่แช่แข็งออกมาปล่อยให้ละลายเก็บไว้ได้นาน 24 ชั่วโมง2 การรู้จักเก็บรักษานมแม่จะมีส่วนช่วยอย่างมากในกรณีที่มารดาต้องไปทำงาน? การบีบเก็บนมแม่จะช่วยคงการกระตุ้นนมแม่ระหว่างวัน โดยมารดาอาจใช้เวลาช่วงพักหรือเข้าห้องน้ำบีบเก็บนมแม่เก็บเข้ากระติกน้ำแข็งหรือตู้เย็นที่ทำงาน แล้วนำมาเก็บเข้าช่องแข็งของตู้เย็นที่บ้านในกรณีที่จะเก็บไว้นาน สำหรับในสถานประกอบการที่มีมุมนมแม่ก็มีส่วนช่วยสนับสนุนให้มารดาการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้ดียิ่งขึ้น

? ? ? ? ? ? นอกจากนี้ การช่วยสนับสนุนจากนโยบายสุขภาพของรัฐบาลที่ชัดเจนว่าจะสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวอย่างน้อย 6 เดือน การอนุญาตให้ลาพักหลังคลอดเพื่อเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ร่วมกับเครือข่ายขององค์กร สถานประกอบการที่มีแนวทางในฝ่ายบุคคลเพื่อส่งเสริมให้ลูกจ้างเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ มีมุมนมแม่ในโรงงานและห้างสรรพสินค้า โดยนโยบายเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งในความรับผิดชอบต่อสังคม เพื่อสร้างเสริมให้เกิดทรัพยากรที่ดีและมีคุณภาพของประเทศต่อไปในอนาคต

สรุป

? ? ? ? ? ? การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวอย่างน้อย 6 เดือน เป็นสิ่งที่ทั่วโลกยอมรับ การสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวอย่างน้อย 6 เดือนนั้นต้องวิเคราะห์ปัญหาและสาเหตุของการไม่สามารถเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวอย่างน้อย 6 เดือนได้ โดยปัญหาที่พบได้แก่ ปัญหาทางด้านกายภาพและสุขภาพของมารดาและทารก และปัญหาด้านพฤติกรรมการเลี้ยงดูของมารดาและครอบครัว ซึ่งแต่ละปัญหาต้องอาศัยความใส่ใจของมารดา ครอบครัว บุคลากรทางการแพทย์ ร่วมกับนโยบายสุขภาพของรัฐบาล และความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กรหรือสถานประกอบการที่จะทำให้บรรลุเป้าหมายของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เพื่อเป็นพื้นฐานการพัฒนาบุคลากรของประเทศชาติ

?

เอกสารอ้างอิง

  1. Kramer MS, Kakuma R. The optimal duration of exclusive breastfeeding. A systemic review. WHO 2002.
  2. Eglash A, Montgomery A, Wood J. Breastfeeding. Dis Mon 2008;54:343-411.
  3. จินตนา พัฒนพงศ์ธร,ศันสนีย์ เจตน์ประยุกต์. รายงานการวิจัยอัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่และปัจจัยที่มีผลต่อการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ สำนักส่งเสริมสุขภาพ กรมอนามัย 2547.
  4. Keister D, Roberts KT, Werner KL. Strategies for breastfeeding success. Am Fam Physician 2008;78:225-32.
  5. Nelson AM. A metasynthesis of qualitative breastfeeding studies. J Midwifery Womens Health 2006;51:e13-20.
  6. Largest-ever survey on situation of children and women in Thailandshows progress and challenges. UNICEF. Accessed August 25, 2009, at: http://www.unicef.org/infobycountry/media_39098.html
  7. Zembo CT.Breastfeeding. Obstet Gynecol Clin North Am 2002;29: 51-76.

 

 

 

บทความโดย รศ.นายแพทย์ภาวิน พัวพรพงษ์