รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์
โดยทั่วไป มารดาจะสามารถจะปฏิบัติกิจกรรมประจำวันได้ โดยร่างกายของมารดาจะค่อย ๆ กลับมาปกติเหมือนในระยะก่อนการคลอดทีละน้อย ในมารดาที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ มารดาควรจะมีเวลาพักระหว่างวันและในช่วงที่ทารกหลับ เนื่องจากต้องตื่นมาให้นมทารกในช่วงกลางคืน การพักผ่อนไปพร้อมกับทารกจะทำให้มารดาไม่อ่อนเพลียหรือเหนื่อยล้า ควรหลีกเลี่ยงการทำงานหนัก การออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาหนักที่หนักเกินไป การยกของหนักเกินกว่า 4.5 กิโลกรัมโดยอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนของแผลจากการผ่าตัดคลอด หรือทำให้เกิดการภาวะกระบังลมหย่อนในช่วงที่กล้ามเนื้อและเส้นเอ็นที่ยึดมดลูกยังไม่มีแรงยึดตึงมดลูกกลับเข้าที่ สำหรับการเดินช้า ๆ การแกว่งแขน การเต้นแอโรบิก หรือการออกกำลังกายเบา ๆ สามารถทำได้1-3 โดยผลของการออกกำลังกาย เช่น โยคะ และพิลาทิส (pilates) จะช่วยในเรื่องสุขภาพกาย สุขภาพจิต ลดความอ่อนเพลีย ลดอาการซึมเศร้าและเพิ่มคุณภาพชีวิตของสตรีหลังคลอด โดยไม่มีผลต่อการให้ปริมาณน้ำนมและการให้นมบุตร4,5 ในประเทศไทยความเชื่อเรื่องการอยู่ไฟ การอาบน้ำร้อน การไม่สระผม การห้ามโดนลมและการกินน้ำอุ่น ยังคงพบได้จากธรรมเนียมปฏิบัติที่ถ่ายทอดกันมา ซึ่งต้องการการสื่อสารและการสร้างความเข้าใจในเรื่องการปฏิบัติตัวหลังคลอด6
เอกสารอ้างอิง
- Zourladani A, Zafrakas M, Chatzigiannis B, Papasozomenou P, Vavilis D, Matziari C. The effect of physical exercise on postpartum fitness, hormone and lipid levels: a randomized controlled trial in primiparous, lactating women. Arch Gynecol Obstet 2014.
- Ko YL, Yang CL, Chiang LC. Effects of postpartum exercise program on fatigue and depression during “doing-the-month” period. J Nurs Res 2008;16:177-86.
- Davies GA, Wolfe LA, Mottola MF, et al. Exercise in pregnancy and the postpartum period. J Obstet Gynaecol Can 2003;25:516-29.
- Ko YL, Yang CL, Fang CL, Lee MY, Lin PC. Community-based postpartum exercise program. J Clin Nurs 2013;22:2122-31.
- Dritsa M, Da Costa D, Dupuis G, Lowensteyn I, Khalife S. Effects of a home-based exercise intervention on fatigue in postpartum depressed women: results of a randomized controlled trial. Ann Behav Med 2008;35:179-87.
- Kaewsarn P, Moyle W, Creedy D. Traditional postpartum practices among Thai women. J Adv Nurs 2003;41:358-66.