นมแม่ช่วยป้องกันการเกิดเบาหวานในมารดา

รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์

            นอกจากการให้ลูกได้กินนมแม่จะช่วยป้องกันการเกิดเบาหวานในทารกทั้งชนิดที่ 1 และชนิดที่ 2 แล้ว1,2 การให้ลูกกินนมแม่ยังช่วยป้องกันการเกิดเบาหวานในมารดาด้วย มีการศึกษาพบว่า การให้ลูกกินนมแม่ยิ่งนานยิ่งลดความเสี่ยงในการเกิดเบาหวานชนิดที่ 2 ลง 0.68 เท่า (95%CI 0.57-0.82)3 โดยการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่นาน 12 เดือนในช่วงชีวิตจะลดการเกิดเบาหวานชนิดที่ 2 ได้ร้อยละ 4-124 สำหรับมารดาที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว 1-3 เดือนจะลดความเสี่ยงในการเกิดเบาหวานชนิดที่ 2 ได้ร้อยละ 505 และการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ยังมีผลในมารดาที่เป็นเบาหวานระหว่างการตั้งครรภ์ โดยจะทำให้ระดับไขมันและน้ำตาลดีขึ้นขณะที่ให้นมแม่ในระยะ 3 เดือนแรกหลังคลอด6 นอกจากนี้ในสตรีวัยทองที่มีระยะเวลาการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ที่นานกว่าจะพบการเกิดเบาหวานลดลง7

เอกสารอ้างอิง

  1. Patelarou E, Girvalaki C, Brokalaki H, Patelarou A, Androulaki Z, Vardavas C. Current evidence on the associations of breastfeeding, infant formula, and cow’s milk introduction with type 1 diabetes mellitus: a systematic review. Nutr Rev 2012;70:509-19.
  2. Pereira PF, Alfenas Rde C, Araujo RM. Does breastfeeding influence the risk of developing diabetes mellitus in children? A review of current evidence. J Pediatr (Rio J) 2014;90:7-15.
  3. Aune D, Norat T, Romundstad P, Vatten LJ. Breastfeeding and the maternal risk of type 2 diabetes: a systematic review and dose-response meta-analysis of cohort studies. Nutr Metab Cardiovasc Dis 2014;24:107-15.
  4. Stuebe AM, Rich-Edwards JW, Willett WC, Manson JE, Michels KB. Duration of lactation and incidence of type 2 diabetes. JAMA 2005;294:2601-10.
  5. Schwarz EB, Brown JS, Creasman JM, et al. Lactation and maternal risk of type 2 diabetes: a population-based study. Am J Med 2010;123:863 e1-6.
  6. Much D, Beyerlein A, Rossbauer M, Hummel S, Ziegler AG. Beneficial effects of breastfeeding in women with gestational diabetes mellitus. Mol Metab 2014;3:284-92.
  7. Schwarz EB, Ray RM, Stuebe AM, et al. Duration of lactation and risk factors for maternal cardiovascular disease. Obstet Gynecol 2009;113:974-82.