รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์
ทัศนคติของบุคคลใดบุคคลหนึ่งจะมีผลต่อการปฏิบัติของบุคคลนั้น ซึ่งทัศนคติหรือมุมมองต่อเรื่องการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ก็จะมีพื้นฐานมาจากความรู้ในเรื่องการเลี้ยงลุกด้วยนมแม่นั่นเอง ดังนั้น ความรู้และทัศนคติจึงมีความเชื่อมโยงกันและส่งผลต่อการปฏิบัติ ซึ่งหากเป็นเรื่องของนมแม่ก็จะมีผลต่ออัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่และระยะเวลาที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ บุคลากรทางการแพทย์เป็นผู้ที่มีความสำคัญในการถ่ายทอดความรู้และสร้างทัศนคติที่ดีของมารดาต่อการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ซึ่งมีการศึกษาพบว่า บุคลากรทางการแพทย์ยังมีความรู้เกี่ยวกับประโยชน์ของนมแม่ที่ทารกควรจะกินนานเกินหนึ่งปีต่ำ โดยการที่บุคลากรขาดความรู้ก็จะสัมพันธ์กับการมีทัศนคติที่จะส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่นานเกินหนึ่งปีน้อย ซึ่งมีผลทำให้ระยะเวลาของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ที่เกินหนึ่งปีพบต่ำเช่นกัน1 การที่จะช่วยส่งเสริมให้มารดามีการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ที่ยาวนานขึ้นจึงควรมีการวางแผนที่จะอบรมให้บุคลากรทางการแพทย์มีความรู้เกี่ยวกับประโยชน์ของการกินนมแม่ที่นานเกินหนึ่งปีก่อน เพราะบุคลากรทางการแพทย์จะเป็นกลไกที่สำคัญในการเสริมสร้างความรู้และทัศนคติที่ดีต่อการกินนมแม่ที่นานเกินหนึ่งปี ยิ่งไปกว่านั้น หากบุคลากรทางการแพทย์ได้ปฏิบัติตนเป็นตัวอย่างก็จะยิ่งสร้างความน่าเชื่อถือในการให้คำปรึกษายิ่งขึ้น ผลลัพธ์ก็จะทำให้อัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ตามที่องค์การอนามัยโลกตั้งเป้าหมายไว้สูงขึ้นและทารกก็จะเจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพดี
เอกสารอ้างอิง
- Baranowska B, Malinowska M, Stanaszek E, et al. Extended Breastfeeding in Poland: Knowledge of Health Care Providers and Attitudes on Breastfeeding Beyond Infancy. J Hum Lact 2019;35:371-80.