รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์
??????????? การให้นมแม่ในทารกแรกเกิดที่ป่วยที่หอผู้ป่วยทารกวิกฤตเป็นสิ่งที่บุคลากรทางการแพทย์เห็นและยอมรับว่ามีโยชน์ แต่ในทางปฏิบัติยังมีปัญหาพอควร1 เริ่มตั้งแต่ การสนับสนุนในทางนโยบายของสถานพยาบาลที่จะกระตุ้นให้มีแนวทางปฏิบัติที่ช่วยให้เกิดกระบวนการการเก็บน้ำนมแม่มาจนถึงการให้นมแม่แก่ทารก ซึ่งในแต่ละกระบวนการล้วนแล้วแต่ต้องการบุคลากรที่เอาใจใส่และเข้าใจว่าเป็นหน้าที่ ร่วมกับการช่วยคิดเป็นภาระงานการพยาบาลที่จะสามารถคำนวณอัตรากำลังในการให้บริการให้ได้อย่างเหมาะสม ก็จะช่วยในด้านการให้บริการของบุคลากรทางการแพทย์ได้ นอกจากนี้ ในกรณีที่ทารกนอนอยู่นานที่หอผู้ป่วยทารกวิกฤต มารดาอาจมีความลำบากในการเดินทางมาเพื่อดูแลและให้นมลูก การจัดบริการส่งเสริมให้มารดาสามารถพักอยู่ในพื้นที่ที่สะดวกจะมาให้การดูแลทารก ช่วยโอบกอดเนื้อแนบเนื้อ เก็บและให้นมแม่ ก็จะยิ่งช่วยในการสนับสนุนการให้นมแม่ในทารกที่ป่วย ซึ่งจะช่วยให้ทารกหายจากอาการเจ็บป่วยได้เร็วขึ้นและระยะเวลาที่นอนโรงพยาบาลสั้นลง
เอกสารอ้างอิง
Shattnawi KK. Healthcare Professionals’ Attitudes and Practices in Supporting and Promoting the Breastfeeding of Preterm Infants in NICUs. Adv Neonatal Care 2017.
รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์
??????????? การใช้จุกนมหลอกให้ทารกแรกเกิดดูด โดยทั่วไปจะไม่แนะนำให้ใช้ เนื่องจากมีความสัมพันธ์กับการลดอัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้ ซึ่งการดูดจุกนมหลอกแล้ว ไม่มีน้ำนมออกมา อาจมีผลต่อพฤติกรรมการดูดนมของทารก อย่างไรก็ตาม ในมารดาที่มีภาวะซึมเศร้า มีการศึกษาพบว่า การใช้จุกนมหลอกในทารกอาจช่วยเพิ่มอัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้ 1 ซึ่งในกรณีนี้ ความพยายามในการอธิบายเหตุผลคือ ทารกที่ดูดจุกนมหลอก แม้ว่าไม่ได้น้ำนม แต่ทารกจะคุ้นเคยกับการดูดหรืออมจุกนม โดยอาจมีผลในมารดาที่มีภาวะซึมเศร้าที่มีโอกาสจะหยุดการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ก่อนระยะเวลาอันควร อย่างไรก็ตาม การศึกษาถึงคำตอบที่ชัดเจนต้องการการศึกษาเพิ่มเติมในอนาคต รวมถึงประโยชน์ในการใช้จุกนมหลอกในมารดาที่มีความเสี่ยงในการหยุดการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในกรณีอื่น ๆ
เอกสารอ้างอิง
Sipsma HL, Kornfeind K, Kair LR. Pacifiers and Exclusive Breastfeeding: Does Risk for Postpartum Depression Modify the Association? J Hum Lact 2017:890334417725033.
รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์
??????????? ความใกล้ชิดหรือสายสัมพันธ์ระหว่างมารดาและทารกจะเป็นสิ่งที่ปกป้องและช่วยในการรอดชีวิตสูงขึ้น ซึ่งพบในธรรมชาติของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ซึ่งสิ่งที่จะช่วยให้เกิดความผูกพันระหว่างแม่และลูกได้ดีก็คือการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ที่จะสร้างความสัมพันธ์จากการสัมผัสเนื้อแนบเนื้อของทารกและมารดา การสบตา การพูดคุย และผ่านกระบวนการทางฮอร์โมนแห่งความรัก ได้แก่ ออกซิโทซิน ที่จะผ่านกลไกการออกฤทธิ์ของสารสื่อประสาทในสมอง ความสัมพันธ์และปฏิสัมพันธ์ระหว่างมารดาและทารกจะช่วยในการพัฒนาการที่ดี นอกจากนี้ แบคทีเรียที่ผิวกายและเต้านมของมารดายังช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันในลำไส้ของทารกเพิ่มเติมจากแบคทีเรียในช่องคลอดที่ทารกได้รับผ่านการคลอดทางช่องคลอด ดังนั้นการเริ่มให้นมลูกเร็วก็เป็นเสมือนการเริ่มสร้างเกราะคุ้มกันทารกที่ดีและแข็งแกร่ง ดังที่พบจากข้อมูลการศึกษาที่ว่า หากให้ทารกได้เริ่มการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ช้ากว่าในวันแรก ทารกจะมีความเสี่ยงในการเสียชีวิตมากขึ้นกว่าการเริ่มให้การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในวันแรกถึงร้อยละ 851
เอกสารอ้างอิง
Smith ER, Hurt L, Chowdhury R, et al. Delayed breastfeeding initiation and infant survival: A systematic review and meta-analysis. PLoS One 2017;12:e0180722.
รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์
??????????? การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่นอกเหนือจากการที่ทารกได้รับการโอบกอดเนื้อแนบเนื้อที่เป็นการกระตุ้นพัฒนาการของระบบประสาทแล้ว ระหว่างที่มารดาให้นมลูก ปฏิสัมพันธ์ระหว่างมารดาและทารก การหลอกล้อ พูดคุย การเล่าเรื่องหรือกิจกรรมต่าง ๆ ที่มารดาทำร่วมกับทารกขณะที่ให้นมลูกจะกระตุ้นพัฒนาการของทารกในด้านต่าง ๆ มีการศึกษาโดยการเก็บข้อมูลกิจกรรมระหว่างที่มารดาให้นมลูกจากเต้ากับมารดาที่เลี้ยงลูกด้วยนมผงดัดแปลงสำหรับทารกพบว่า มารดาที่ให้นมลูกจากเต้ามีปฏิสัมพันธ์กับทารกมากกว่ามารดาที่เลี้ยงลูกด้วยนมผงดัดแปลงสำหรับทารก 1 ซึ่งกิจกรรมหรือปฏิสัมพันธ์ระหว่างมารดาและทารกน่าจะเป็นสิ่งหนึ่งที่สำคัญที่อธิบายถึงการพัฒนาการทางสมองที่ดีกว่าที่พบในทารกที่กินนมแม่ได้
เอกสารอ้างอิง
Smith JP, Forrester R. Maternal Time Use and Nurturing: Analysis of the Association Between Breastfeeding Practice and Time Spent Interacting with Baby. Breastfeed Med 2017;12:269-78.
รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์
??????????? การที่มารดาตั้งใจจะเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ การเลือกโรงพยาบาลที่จะฝากครรภ์และคลอดมีความสำคัญและมีผลต่อความสำเร็จในการที่จะเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวหกเดือน และเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ร่วมกับการให้เอาหารตามวัยต่อไปจนกระทั่งถึงสองปีหรือนานกว่านั้น ที่ผ่านมามีการศึกษาพบว่า การที่โรงพยาบาลกำหนดบทบาทและปฏิบัติตามนโยบายของโรงพยาบาลสายสัมพันธ์แม่ลูกนั้นเป็นเครื่องมือที่จะช่วยเพิ่มอัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้ และเมื่อศึกษาถึงอัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวในโรงพยาบาลที่ปัจจุบันได้รับการรับรองว่าเป็นโรงพยาบาลสายสัมพันธ์แม่ลูก โรงพยาบาลที่เคยเป็นโรงพยาบาลสายสัมพันธ์แม่ลูก และโรงพยาบาลที่ไม่ได้เป็นหรือไม่ได้ปฏิบัติตามนโยบายสายสัมพันธ์แม่ลูก พบว่า โรงพยาบาลที่ปัจจุบันได้รับการรับรองว่าเป็นโรงพยาบาลสายสัมพันธ์แม่ลูกจะช่วยป้องกันการหยุดการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้ดีกว่าโรงพยาบาลที่เคยเป็นโรงพยาบาลสายสัมพันธ์แม่ลูกและดีกว่าโรงพยาบาลที่ไม่ได้เป็นโรงพยาบาลสายสัมพันธ์แม่ลูก โดยจะช่วยป้องกันการหยุดการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวก่อนเวลาอันควรได้ถึงร้อยละ 40 1 เมื่อเทียบกับโรงพยาบาลที่ไม่ได้เป็นโรงพยาบาลสายสัมพันธ์แม่ลูก ดังนั้น มารดาควรหาข้อมูลของโรงพยาบาลที่จะฝากครรภ์และคลอดว่าได้ปฏิบัติหรือได้รับรองว่าเป็นโรงพยาบาลสายสัมพันธ์แม่ลูกหรือไม่
เอกสารอ้างอิง
Spaeth A, Zemp E, Merten S, Dratva J. Baby-Friendly Hospital designation has a sustained impact on continued breastfeeding. Matern Child Nutr 2017.
เรื่องนำทาง
แหล่งความรู้ เกี่ยวกับสูติ-นรีเวช (Obstetrics-Gynecology)