คลังเก็บหมวดหมู่: ความรู้สำหรับนักศึกษา

ความรู้สำหรับนักศึกษา

การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในมารดาที่เป็นเอสแอลอี

รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์

??????????? โรคเอสแอลอี หรือโรคแพ้ภูมิตนเอง หรือโรคพุ่มพวง เป็นโรคที่เกิดจากภูมิคุ้มกันตนเองแทนที่จะมีหน้าที่ปกป้องร่างกายกลับทำให้เกิดการอักเสบของเนื้อเยื่อของตนเองในหลาย ๆ ระบบ เช่น ระบบผิวหนัง ระบบประสาท ระบบหัวใจและหลอดเลือด ระบบกล้ามเนื้อและข้อ ไต และระบบการหายใจ เป็นต้น สาเหตุของการเกิดโรคยังไม่ทราบแน่ชัด แต่ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นผลมาจากพันธุกรรม และถูกกระตุ้นโดยปัจจัยเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม ผู้ป่วยเอสแอลอีมักเป็นในผู้หญิงและช่วงที่อาการเกิดกำเริบก็มักจะเป็นในช่วงวัยเจริญพันธุ์ ซึ่งแม่ได้รับการรักษาให้อาการของโรคเริ่มสงบลงแล้ว หากไม่ได้วางแผนเรื่องการคุมกำเนิด จะพบผู้ป่วยเอสแอลอีตั้งครรภ์ ซึ่งเมื่อมีการตั้งครรภ์ การดูแลระหว่างการตั้งครรภ์ต้องระวังภาวะแทรกซ้อนของโรค และผลเสียจากการใช้ยา อย่างไรก็ตาม ในระหว่างการตั้งครรภ์ อาการของโรคมักไม่กำเริบรุนแรงและเมื่อเลือกใช้ยาที่มีความเสี่ยงต่ำที่จะมีผลต่อทารก การดูแลการตั้งครรภ์ก็ยังสามารถดำเนินต่อไปได้ โดยต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด เมื่อทารกคลอดออกมา พบว่าการให้ลูกกินนมแม่ตั้งแต่ในระยะแรกนั้นพบน้อยกว่า ระยะเวลาของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่สั้นกว่า และเหตุผลที่หยุดการให้นมนั้นคือ กระบวนการรักษา ซึ่งก็คือ ความวิตกเรื่องการใช้ยา ทั้ง ๆ ที่ความเสี่ยงจากการใช้ยามีอยู่ต่ำเมื่อเทียบกับประโยชน์ที่มารดาและทารกจะได้รับจากการให้ลูกได้กินนมแม่1 ดังนั้น บุคลากรทางการแพทย์ควรให้ความสนใจ และมีความเข้าใจว่ามารดาที่เป็นเอสแอลอีต้องถือว่าความเสี่ยงในการที่จะหยุดการเลี้ยงลูกก่อนเวลาที่เหมาะสม ดังนั้น การดูแลให้ความรู้เรื่องโรค การรักษา และการใช้ยาที่มีความเสี่ยงต่ำนั้น หากมารดามีความตั้งใจที่จะเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ก็สามารถทำได้ และเมื่อมารดาเข้าใจได้ดีแล้ว ระยะเวลาการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ของมารดาที่เป็นโรคเอสแอลอีนั้น น่าจะยาวนานขึ้นโดยปราศจากความวิตกกังวลในเรื่องของการใช้ยาเพื่อรักษาอาการของโรค

เอกสารอ้างอิง

  1. Acevedo M, Pretini J, Micelli M, Sequeira G, Kerzberg E. Breastfeeding initiation, duration, and reasons for weaning in patients with systemic lupus erythematosus. Rheumatol Int 2017;37:1183-6.

 

 

จะลดความเจ็บปวดจากการเจาะเลือดทารกได้อย่างไร

รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์

??????????? หัตถการต่าง ๆ ที่ทำในทารกแรกเกิดที่พบได้บ่อย ได้แก่ การเจาะเลือดและการฉีดวัคซีน โดยทั่วไปมักไม่มีการใช้ยาแก้ปวดหรือให้ยาระงับความรู้สึกแก่ทารก ซึ่งผลเสียอาจเกิดในทารกที่มีความเจ็บป่วยอยู่แล้ว ร่างกายอ่อนแอ การร้องไห้หรือความเจ็บปวดอาจนำมาซึ่งการใช้หรือเผาพลาญพลังงานสูงขึ้น นอกจากนี้ยังอาจส่งผลทางด้านจิตใจหรือภาวะแทรกซ้อนต่อระบบประสาทได้ ได้มีการศึกษาวิธีที่จะลดความเจ็บปวดจากการทำหัตถการ การเจาะเลือด พบว่า การนวดทารก และการให้ทารกกินนมแม่ช่วยลดความเจ็บปวดของทารกระหว่างการทำหัตถการได้อย่างมีนัยสำคัญ1 ซึ่งการนวดทารกและการให้ทารกกินนมแม่เป็นวิธีที่ไม่ต้องอาศัยอุปกรณ์ใด ๆ เพิ่มเติม สามารถให้การดูแลรักษาได้ในทุกสถานพยาบาล ไม่มีผลข้างเคียง และไม่มีค่าใช้จ่ายใด ที่เพิ่มขึ้นจากกระบวนการการให้การดูแลรักษาเหล่านี้เลย ดังนั้น จึงควรที่จะให้การสนับสนุนและส่งเสริมให้มีการปฏิบัติในการลดความเจ็บปวดในการทำหัตถการของทารกด้วยการนวดหรือการให้ลูกได้กินนมแม่

เอกสารอ้างอิง

  1. Zargham-Boroujeni A, Elsagh A, Mohammadizadeh M. The Effects of Massage and Breastfeeding on Response to Venipuncture Pain among Hospitalized Neonates. Iran J Nurs Midwifery Res 2017;22:308-12.

 

การผ่าตัดคลอด มีผลเสียต่อการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่จริงหรือ

รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์

??????????? การผ่าตัดคลอด โดยทั่วไปแล้ว หากพิจารณาตามความจำเป็นตามข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ควรจะมีการผ่าตัดคลอดราวร้อยละ 15 แต่ในปัจจุบัน หากติดตามข้อมูลของการผ่าตัดคลอดในโรงพยาบาลรัฐบาลพบว่ามีการผ่าตัดคลอดที่สูงขึ้นคือร้อยละ 40-50 ขณะที่การผ่าตัดคลอดในโรงพยาบาลเอกชนพบร้อยละ 80-90 ซึ่งจะเห็นว่า อัตราการผ่าตัดคลอดที่สูงเกินความจำเป็นนี้นอกจากจะส่งผลเสียต่อค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาที่เพิ่มขึ้นแล้ว ยังมีผลเสียต่อสุขภาพมารดาและทารกด้วย กล่าวคือ มารดาที่ผ่าตัดคลอดจะมีความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากการที่ต้องใช้ยาระงับความรู้สึกหรือยาดมสลบเพิ่มขึ้น เสียเลือดจากการคลอดเพิ่มขึ้น โอกาสที่จะตกเลือดหลังคลอดสูงขึ้น การพักฟื้นหลังผ่าตัดคลอดยาวนานกว่าการคลอดปกติ ทารกที่ผ่าตัดคลอดมีโอกาสหายใจเร็วผิดปกติสูงขึ้น และสำหรับในเรื่องการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่แล้ว การเริ่มต้นการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่มักเริ่มต้นได้ช้า ส่งผลให้น้ำนมแม่มาช้า ทำให้อัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่มีแนวโน้มจะต่ำกว่ามารดาที่คลอดปกติ มีการศึกษาถึงความสัมพันธ์ระหว่างการผ่าตัดคลอดกับการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ พบว่า การผ่าตัดคลอดลดอัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในระยะแรกสูงถึงร้อยละ 47 และอัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในเดือนที่สี่ร้อยละ 391 หากมารดาและครอบครัวทราบและเข้าใจถึงข้อเสียและความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นแล้ว ควรดูแลตนเองระหว่างการฝากครรภ์และปรึกษากับแพทย์ผู้ดูแลเพื่อลดความเสี่ยงในการผ่าตัดคลอด เพื่อผลที่ดีต่อสุขภาพของทั้งมารดาและทารก

เอกสารอ้างอิง

  1. Zhao J, Zhao Y, Du M, Binns CW, Lee AH. Does Caesarean Section Affect Breastfeeding Practices in China? A Systematic Review and Meta-Analysis. Matern Child Health J 2017;21:2008-24.

การศึกษาของมารดากับการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่

รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์

??????????? การศึกษาเป็นพื้นฐานแห่งการเรียนรู้ที่จะส่งเสริมให้บุคคลรู้จักดูแลตนเองรวมทั้งในเรื่องสุขภาพและการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ มีการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างจำนวนปีของการศึกษากับการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่พบว่า มารดาที่มีการศึกษาน้อยกว่า 6 ปี เลี้ยงลูกด้วยนมแม่น้อยกว่ามารดาที่มีการศึกษามากกว่า 6 ปีถึงร้อยละ 10 และมารดาที่มีการศึกษาน้อยกว่า 12 ปี เลี้ยงลูกด้วยนมแม่น้อยกว่ามารดาที่มีการศึกษามากกว่า 12 ปีถึงร้อยละ 91 จะเห็นว่าปัจจัยเรื่องของการศึกษายังเป็นเรื่องที่สำคัญที่ต้องการการดูแลเอาใจใส่ เพราะเป็นความรู้เบื้องต้นที่จะเอื้ออำนวยให้บุคคลมีความพร้อมในการที่จะเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ เพิ่มเติม การพัฒนาเรื่องการศึกษาไปพร้อม ๆ กับการส่งเสริมเรื่องการดูแลสุขภาพรวมทั้งเรื่องของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่จึงควรดำเนินการไปด้วยกัน

เอกสารอ้างอิง

  1. Zhao J, Zhao Y, Du M, Binns CW, Lee AH. Maternal education and breastfeeding practices in China: A systematic review and meta-analysis. Midwifery 2017;50:62-71.

 

ประโยชน์ของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ต่อภาคส่วนสังคม

รศ.นพ.ภาวิน พัวพรพงษ์

??????????? นมแม่มีประโยชน์และเป็นผลดีต่อสุขภาพของทั้งมารดาและทารก ทั้งเป็นผลในระยะสั้นและระยะยาวในช่วงของการใช้ชีวิต ดังนั้น จึงเป็นสิ่งที่ภาคส่วนของคนในสังคมต้องให้ความสำคัญและตระหนักถึงความสำคัญของการให้ทารกได้กินนมแม่ โดยในส่วนของภาครัฐควรมีการวางนโยบายเรื่องการสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ให้ชัดเจน มีการติดตามข้อมูลรวมทั้งตัวชี้วัดต่าง ๆ ที่จะบ่งบอกถึงอัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ พร้อมมีการประเมินผลและปรับเปลี่ยนแนวทางการรณรงค์การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ตามข้อมูลที่มีการศึกษาและวิจัย เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีและมีความต่อเนื่อง1

? ? ? ? ? ? ?สำหรับภาคส่วนของการศึกษา ควรสนับสนุนให้มีการฝึกอบรมบุคลากรที่มีความรู้ที่จะให้การดูแลและสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้ มีการวางบันไดอาชีพให้บุคลากรเหล่านี้มีความเจริญก้าวหน้าในการทำงาน และสนับสนุนให้ดำรงการทำงานอยู่ในสายงานนี้ได้อย่างเหมาะสม ไม่ต้องอดทนภายในงานที่หนัก ค่าตอบแทนที่น้อย หรือการที่ขาดความเอาใจใส่หรือความสนใจของผู้บริหารหรือผู้บังคับบัญชา สร้างระบบการประเมินการทำงานตามภาระงานที่ได้กระทำ ซึ่งยังมีความจำเป็นเนื่องจากมีความขาดแคลนของบุคลากรในสายงานนี้

? ? ? ? ? ? ? ในภาคส่วนของเอกชน การให้การสนับสนุนในด้านนโยบายการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในสถานประกอบการ การจัดเวลาพักให้สามารถบีบเก็บนมแม่ได้ รวมทั้งจัดมุมนมแม่และอุปกรณ์สนับสนุน นอกจากนี้ ในส่วนของภาคสื่อสารมวลชน ควรสื่อสารให้เกิดความตื่นตัวถึงความสำคัญและประโยชน์ของนมแม่ที่จะมีการส่งเสริมให้มารดาสามารถเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวหกเดือน หลังจากนั้นให้นมแม่ร่วมกับอาหารตามวัยจนกระทั่งถึงสองปีหรือนานกว่านั้นขึ้นอยู่กับความต้องการของมารดาและทารกตามข้อแนะนำขององค์การอนามัยโลก ดังนั้น จะเห็นว่า การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่นั้นไม่ได้เป็นเรื่องเฉพาะตัวที่ควรสนับสนุนให้เกิดขึ้น แม้จะมองเป็นเรื่องพื้นฐานตามธรรมชาติ แต่ก็เป็นสิ่งที่คนทุกภาคส่วนในสังคมควรร่วมกันส่งเสริมเพื่อสร้างต้นทุนทางสุขภาพที่ดีให้แก่ทารกที่จะเจริญเติบโตเป็นกำลังของสังคมในอนาคต

เอกสารอ้างอิง

  1. The public health benefits of breastfeeding. Perspect Public Health 2017;137:307-8.